กิจกรรมป้องกันไฟป่าและหมอกควัน พื้นที่จังหวัดเชียงราย ความร่วมมือของมีวนา เพื่อรักษาระบบนิเวศที่สมบูรณ์

กิจกรรมป้องกันไฟป่าและหมอกควัน พื้นที่จังหวัดเชียงราย
ความร่วมมือของมีวนา เพื่อรักษาระบบนิเวศที่สมบูรณ์

ไฟป่าที่เกิดขึ้นในทุกปีและส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง  เหตุไฟป่าเกิดขึ้นเป็นปนะจำทุกปีและมักเกิดในฤดูแล้ง ส่งผลกระทบรุนแรงมากในหลายมิติ ทั้งฝุ่นละออง หมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในพื้นที่  กล้าไม้เล็ก ๆ และต้นไม้ใหญ่ในป่าถูกทำลาย สัตว์ป่าถูกความร้อนทำร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิต  สุดท้ายสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง และใช้ระยะเวลานานกว่าจะสามารถฟื้นฟูระบบนิเวศกลับมาได้อีกครั้ง 

ที่ผ่านมาทีมเกษตรกร และทีมส่งเสริมกาแฟอินทรีย์รักษาป่ามีวนา ได้ร่วมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกหวงแหนเป็นเจ้าของพื้นที่ร่วมกันเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการเผาป่าในพื้นที่เสี่ยง และสานต่อกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภายในพื้นที่รอยต่อจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเชื่อมต่อกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน  ผู้นำชุนชน  และชาวบ้าน

ในปีนี้ได้มีการวางแผนการลาดตระเวน 345.5 กม. และจัดทาแนวกันไฟ 42 กม. รวมทั้งสิ้นเป็นระยะทาง 387.5 กม. ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินกิจกรรมแล้วทั้ง 7 หมู่บ้าน รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 204.1 .. หรือ 53% ของแผนป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่า  เพราะเจตนารมณ์ของมีวนาคือการรักษาผืนป่าด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า ด้วยการสร้างเครือข่าย สร้างความร่วมไม้ ร่วมมือ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คนกับป่า อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน 

ขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรกาแฟมีวนา และเจ้าหน้าที่ทีมส่งเสริมที่ช่วยกันดูแลพื้นที่ป่าอย่างเข้มแข็ง และขอบคุณผู้สนับสนุนกาแฟมีวนาทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลผืนป่าไปด้วยกันเสมอ

Innova MOU

อีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่าง
บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตรองค์ประกอบไฮโดรเจลกักเก็บอนุภาคนาโนที่ห่อหุ้มน้ำมันหอมระเหย และกรรมวิธีการเตรียม” จัดขึ้นเมื่อเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารจามจุรี 4 โดย .สพ..ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณวไลรัตน์ ผ่องจิตต์ กรรมการ บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด อ.ดร. ธีรพงศ์ ยะทา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด และ ผศ.สพ..ดร.ศิรกานต์ ฐิตวัฒน์ อ. คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนามในพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตรองค์ประกอบไฮโดรเจลกักเก็บอนุภาคนาโนที่ห่อหุ้มน้ำมันหอมระเหย และกรรมวิธีการเตรียม

ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของอนุสิทธิบัตรให้แก่ บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ในการดำเนินกิจการและให้บริการค้นคว้า วิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายอนุภาคนาโนสารสกัด สำหรับสินค้าหรือบริการต่างๆ รวมถึงการประยุกต์ใช้อนุภาคนาโน ในการผลิตสินค้าหรือบริการต่างๆ

.ดร.ธีรพงศ์ ได้กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการฯ ว่า เป็นก้าวแรกที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยีที่มีความสำคัญของประเทศไทย เป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบนำ เทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น เพื่อนำส่งสารสำคัญไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเวชสำอาง อาหารเชิงฟังก์ชั่น ตลอดจนผลิตภัณฑ์ในสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจ และพัฒนาต่อยอดเป็นองค์ประกอบในระบบนำส่งสารทางเภสัชกรรมและสมุนไพร เป็นการเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองของประเทศด้านวัตถุดิบ สารสกัดจากธรรมชาติ สู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รวมทั้งเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตสินค้าด้านสุขภาพและชีวภาพในประเทศไทย ถือเป็นการส่งเสริมนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ของประเทศในอนาคต

พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตร องค์ประกอบไฮโดรเจลกักเก็บอนุภาคนาโนที่ห่อหุ้มน้ำมันหอมระเหย และกรรมวิธีการเตรียมในครั้งนี้จัดโดยศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาฯ และบริษัทพรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด

ข้อมูล บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด

จากจุดตั้งต้นที่ต้องการสร้างความยั่งยืนให้กับวัตถุดิบท้องถิ่นของไทย ให้สามารถพัฒนาเป็นสารสกัดที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน และสามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารเสริม หรือเวชสำอางที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ และสมุนไพรท้องถิ่นของไทย ด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติของไทย และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม

DCS นำเสนอโซลูชั่น เชื่อมต่ออนาคตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ

DCS นำเสนอโซลูชั่น เชื่อมต่ออนาคตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาองค์กร

บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS) จัดงาน DCS Solution Day – Bridging for the Better ชวนพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำกว่า 20 องค์กรร่วมจัดงานเพื่อนำเสนอระบบการบริหารจัดการทางเทคโนโลยี (Enterprise IT Solution) ที่หลากหลาย ทั้ง

  • ระบบบริหารจัดการองค์กรแบบอัตโนมัติ (Autonomous Enterprise)
  • การบริหารจัดการเทคโนโลยีมัลติคลาวด์ (Hybrid Multi-Cloud Management)
  •  โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (IT infrastructure)
  • การจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)
  •  โซลูชั่นการเฝ้าระวังระบบงาน เพื่อให้สามารถจัดการความเสี่ยงของระบบงานได้อย่างรวดเร็ว (Observability Solutions)
  •  ระบบการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk & Compliance Solution)
  •  รวมถึงโซลูชั่นเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพสร้างสภาพแวดล้อมของสถานที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย (Smart workplace solution)  และอื่นๆ อีกมากมาย

องค์กรที่สนใจโซลูชั่นต่าง ๆ เพื่อนำไปพัฒนาการบริหารจัดการองค์กรให้ทันสมัยและรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สามารถติดต่อที่ บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS)  02 684 8408 

PP IGCxHuawei
ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า สู่โอกาสทางธุรกิจ

PP IGC x Huawei
ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า สู่โอกาสทางธุรกิจ

PP IGC x Huawei 

ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า สู่โอกาสทางธุรกิจ

การทำธุรกิจสมัยนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของการตลาดด้วยวิธี Collaboration หรือที่เราเห็น แบรนด์เอ x แบรนด์บี พัฒนาธุรกิจ สินค้าและบริการใหม่ๆ ร่วมกันกำลังเป็นนิยมอย่างมาก ซึ่งการ Collab ของแบรนด์ต่าง ๆ นำมาสู่การเพิ่มคุณค่าของสินค้าและบริการ ยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจ ขยายกลุ่มลูกค้า ต่อยอดพัฒนาสู่ธุรกิจใหม่ๆ 

การผสานความรู้นั้นเป็นหนึ่งในคุณค่าหลัก ที่กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ใช้ดำเนินธุรกิจตลอดมา คุณสมชาย โรจน์อัศวเสถียร กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) นำทีมบริหารธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยการชูเรื่องการผสานความรู้สร้างความร่วมมือกับคู่ค้า ที่ไม่ได้หวังเพียงแค่ผลลัพธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมุ่งขยายผลลัพธ์ไปสู่มิติอื่นๆ ทั้งการพัฒนาสังคม การใส่ใจชุมชนรอบข้างอีกด้วย 

โครงสร้างของหน่วยงานพลังงานสะอาดแยกออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก คือ บริษัท อินฟินิทกรีน จำกัด (IGC) พัฒนาโซลาร์ฟาร์ม  ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ บมจ.พรีเมียร์โพรดักส์ (PP) ดำเนินการพัฒนาโครงการ      โซลาร์รูฟท็อปและพลังงานอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับโซลาร์รูฟท็อป ดูแลให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ โครงสร้าง การประเมินความคุ้มค่า การขอและต่อใบอนุญาตในการติดตั้ง การก่อสร้าง ตลอดจนการดูแลรักษาผลิตภัณฑ์ทั้งระบบให้กับลูกค้า ภายหลังการขาย

ทำงานร่วมกับห่วงโซ่ที่มีแนวคิดและเป้าหมายเดียวกัน

สู่การยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

คุณสมชายบอกว่า ตลอดการทำงานยึดเรื่องคุณค่าหลักของกลุ่มพรีเมียร์เสมอ ตลอดมาและไม่ลืมที่จะคอยย้ำเรื่องนี้ให้กับทีม โดยเฉพาะเรื่องการผสานความร่วมมือ เพราะทั้ง IGC และ PP ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน แต่เป็นกลุ่มที่ต่างกันออกไป อย่างคนในห่วงโซ่ของ IGC จะเป็นหน่วยงานราชการตั้งแต่ อบต. กระทรวงพลังงาน, ลูกค้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ผู้รับเหมาบำรุงรักษา (Preventive Maintenance) รวมไปถึงการดูแลคนในชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า  ในส่วนของ  PP ที่ลักษณะธุรกิจเป็นรูปแบบการค้าและบริการอย่างครบวงจร ห่วงโซ่ก็จะกว้างและหลากหลายมากกว่า ทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโซลาร์รูฟท็อปของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก อาทิ หัวเหว่ย  หรือคู่ค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม , คู่ค้ารูปแบบสัญญาการลงทุน สัญญาการดูแลรักษาระบบและอุปกรณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า PRIVATE PPA (PRIVATE POWER PURCHASE AGREEMENT และ SERVICE  CONTRACT)   ไปจนถึงลูกค้ารายย่อยบ้านอยู่อาศัยทั่วไป

จริง การเลือกทำธุรกิจกับคู่ค้า ก็เหมือนการเลือกคนแต่งงานกับเรานะ  เหตุผลที่เราเลือกคนนี้เพราะเราอยากอยู่กับเขานาน   เป็นคนที่มีความคิดใกล้เคียงกับเรา มีความเกื้อหนุนกัน สุดท้ายแล้วก็เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืน

เพราะฉะนั้นในระหว่างทางของการทำงานร่วมกับคู่ค้า เราต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการให้ความรู้ การจัดแคมเปญ สร้างกิจกรรมทางการตลาดที่จะทำให้เราและเขามีรายได้ และเพิ่มประโยชน์เกื้อหนุนร่วมกันเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการทำกิจกรรมที่ไปพัฒนาด้านสังคม ทั้งสังคมที่อยู่บริเวณรอบโรงไฟฟ้าของเรา รวมถึงสังคมโดยรวมที่ยังมีความต้องการอยู่   พร้อมขยายการมีส่วนร่วมไปสู่คู่ค้าของเราด้วยเพราะนอกจากการได้ดูแลและพัฒนาสังคมที่เป็นห่วงโซ่สำคัญของเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นแล้วยังถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นโอกาสต่อยอดสู่การสร้างธุรกิจใหม่ๆจนถึงการร่วมพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมที่เราทำนี้ให้เติบโตไปข้างหน้าพร้อมๆกันในแบบที่ยั่งยืนต่อไปได้

โครงการ Repowering ผสานความรู้กับหัวเหว่ย

เพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าทางธุรกิจ

โครงการ Repowering เป็นตัวอย่างของการทำงานแบบยกระดับห่วงโซ่คุณค่าอย่างชัดเจน เพราะผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้ก่อเกิดประโยชน์ร่วมกันในทุกฝ่าย  คุณสมชายเล่าว่าโครงการ Repowering เป็นการทำงานร่วมกัน 3 บริษัท ระหว่าง IGC, PP  และ บริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จํากัด สำหรับหัวเหว่ยเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกันมาก่อนหน้านี้ และยังมีแนวคิดการทำธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตรงกันกับเรา จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่จะร่วมพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ด้วยกัน

ครงการนี้เกิดจากความต้องการพัฒนาอุปกรณ์และระบบผลิตไฟฟ้าเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า IGC ที่ผลิตไฟฟ้ามาแล้วกว่า 10 ปี  ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ เริ่มเสื่อมลงตามสภาพการใช้งานและตามกาลเวลา เราทำงานกันอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน  ตั้งแต่ศึกษาโครงสร้าง (Layout) ของโรงไฟฟ้า ไปจนถึงประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนร่วมกัน ทดลองเปลี่ยนระบบต่างๆ ให้ทันสมัยและเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด  ยกตัวอย่างตัวแปลงกระแสไฟฟ้าตรงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับ หรือ Inverter ซึ่งก่อนหน้านี้เราใช้เป็น Single phase 4 KW ประสิทธิภาพการแปลงไฟฟ้า ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็มีอัตราประสิทธิภาพลดลงตามระยะเวลาการใช้งาน แต่ในปัจจุบัน Inverter สามารถมีประสิทธิภาพแปลงไฟฟ้าได้มากกว่า และราคาถูกลงเราจึงทดลองเปลี่ยนมาใช้ Inverter รุ่นใหม่ของหัวเหว่ย ที่สามารถแปลงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีระบบ ITในการดูแลรักษาอุปกรณ์ และประสิทธิภาพให้สูงขึ้นซึ่งเมื่อทดลองพัฒนาอุปกรณ์และระบบต่างๆ ในการผลิตไฟฟ้าแล้ว ความคุ้มค่าก็เป็นไปตามที่เราประเมินไว้และเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของ IGC ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมโดยเฉลี่ยมากกว่า 5 %  สามารถเพิ่มรายได้ให้กับโรงไฟฟ้า เกิดความคุ้มค่าการลงทุน และลดความเสื่องปัญหาจากการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าให้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย เป็นโอกาสต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต

โครงการนี้ทำให้เราเห็นผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย โดย IGC สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ส่วน PP ก็ได้เปิดตลาดใหม่ ได้เรียนรู้เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับคู่ค้า ลูกค้า โดยที่เราสามารถนำเสนอจากประสบการณ์ใช้งานจริง มีโรงไฟฟ้าตัวอย่างให้มาศึกษา รวมถึงการทำงานร่วมกับหัวเหว่ยที่เป็นบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก ช่วยยกระดับธุรกิจของเราสู่ตลาดสากล ในขณะเดียวกันหัวเหว่ยที่ไม่เคยทำโครงการเกี่ยวกับโรงงานผลิตไฟฟ้าก็ได้ยกระดับธุรกิจของตัวเองสู่การเปิดตลาดในธุรกิจนี้จากการศึกษาและทำโครงการร่วมกับ IGC จนสำเร็จเป็นโครงการต้นแบบของหัวเหว่ย 

และหากถามว่าโครงการ Repowering ที่เกิดประโยชน์กับคนในห่วงโซ่แล้ว  สามารถต่อยอดธุรกิจในรูปแบบพาณิชย์ได้ไหม ตอบว่าได้แน่นอน และเราตั้งใจใช้โมเดลธุรกิจนี้เป็นต้นแบบต่อยอดขยายสู่ธุรกิจพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีและอุปกรณ์ให้กับโรงผลิตไฟฟ้าที่อื่นๆในอนาคต เพราะโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในตลาดส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะมีอายุประมาณ  8 -10 ปี อุปกรณ์บางอย่างเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพลงไปเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ IGC  โครงการ Repowering ชี้ให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เราจึงมีแผนพัฒนาธุรกิจร่วมกันเพื่อเปิดตลาดนี้ต่อไปในอนาคตแน่นอน และเรามองเห็นแล้วว่าการสร้างความร่วมไม้ร่วมมือนั้นเกิดผลลัพธ์ที่ดีและสามารถเกิดโอกาสทางธุรกิจต่อไปได้อีกไกล เราก็ตั้งใจใช้ Business Model นี้เป็นต้นแบบในการทำงานกับหน่วยงานอื่นๆ ของสายธุรกิจของเราต่อไปอีกด้วย

ต้องไม่หยุดนิ่ง การหยุดอยู่กับที่เท่ากับการถอยหลัง

2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจพลังสะอาด พลังงานทดแทนนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดมาก องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นกลุ่มธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม เริ่มมองเห็นความคุ้มค่าในการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์ ทำให้ธุรกิจเราเติบโตค่อนข้างดี เพราะไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนนั้นสามารถประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก เรามีแผนเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด การวางแผนการตลาดมากขึ้น เช่นผลิตภัณฑ์โซล่าในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง(Building Integrated Photovoltaic: BIPV)  คือการนำแผงโซลาร์มาใช้ในองค์ประกอบโครงสร้างของอาคาร ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เลย  อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน อุปกรณ์กักเก็บพลังงาน (ENERGY STORAGE)  ในอนาคตการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีมากขึ้น จำเป็นต้องมีการติดตั้งที่ชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (CHARGING STATION) ก็มีการคิดวางแผนต่อยอดเชิงธุรกิจเหล่านี้เช่นกันเพราะเรื่องพลังสะอาดเป็นธุรกิจที่สามารถต่อยอดไปได้อีกไกล

คุณสมชายทิ้งท้ายว่าเราต้องไม่หยุดนิ่ง ทุกวันต้องเดินหน้าต่อไปตลอดเวลา การหยุดอยู่กับที่ ไม่พัฒนาหรือแสวงหาสิ่งใหม่ก็เท่ากับการถอยหลัง เทคโนโลยีปัจจุบันมีให้เลือกใช้เยอะและเปลี่ยนไปเร็วมาก เราต้องยกระดับตัวเอง ยกระดับทีมงาน เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงาน พัฒนาการทำงานร่วมกับคู่ค้า สร้างโอกาสทางธุรกิจ ยกระดับธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า ที่สำคัญคือการทำธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล เพราะการเป็นคนดีและคนเก่งต้องควบคู่กัน คุณค่าหลักของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ทั้ง 5 ด้านนี่คือดีที่สุดแล้ว สามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตจริงและชีวิตการทำงาน

นมโอ๊ต x เมนูออร์แกนิก
เติมเต็มรสชาติที่คุณรักษ์

นมโอ๊ต x เมนูออร์แกนิก
เติมเต็มรสชาติที่คุณรักษ์

นมโอ๊ตทางเลือกใหม่ถูกใจสายเฮลตี้ที่รักกาแฟนมเพราะนมโอ๊ตมีเนื้อข้นกว่านมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองทำให้ผสมเข้ากับกาแฟได้ดีกว่าและมีกลิ่นอ่อนกว่าไม่รบกวนกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ของกาแฟพอผสมกับกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นแล้วรสชาติก็แทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากการผสมด้วยนมวัวเลย

ทำไมนมโอ๊ต ถึงมาแรงในยุคนี้?

ก็เพราะเป็นนมสำหรับคนรักสุขภาพ

  • อุดมไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายเราต้องการวิตามินบีวิตามินดีแคลเซียมโฟเลตแมกนีเซียมสังกะสีและธาตุเหล็ก
  • มีไฟเบอร์มากกว่าแต่มีไขมันน้อยกว่านมวัวจึงเหมาะสำหรับสายสุขภาพ
  • มีแคลเซียมที่เทียบเท่านมวัว จึงเหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ร่างกายต้องการแคลเซียม
  • ให้พลังงานที่มาจากคาร์โบไฮเดรตช่วยให้อยู่ท้องเกือบทั้งวันในขณะที่นมพืชตระกูลถั่วอื่นๆให้พลังงานจากไขมัน
  • เป็นทางเลือกสำหรับคนที่แพ้แลคโตสและแพ้ถั่ว

ก็เพราะเป็นนมสำหรับคนรักษ์โลก

Carbon Footprint ในการผลิตนมโอ๊ต 1 แก้วนั้นอยู่ที่ 0.18 กิโลกรัม โดยนมโอ๊ตหนึ่งแก้วใช้น้ำน้อยกว่าที่นมอัลมอนด์ใช้ถึง 8 เท่าตัว และนมโอ๊ตยังใช้พื้นที่ในการปลูกน้อยกว่าพื้นที่ในการเลี้ยงวัวราว 91% นมโอ๊ตจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนรักษ์โลกได้แบบขาดลอยเลยทีเดียว

พบกับมีวนาได้ที่ MiVana Coffee Flagship Store

ถนนศรีนครินทร์ ซอยพรีเมียร์ 2 หรือซอยศรีนครินทร์ 57 ข้างศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค

เปิดบริการทุกวัน เวลา 7.30 – 17.30 .

กาแฟมีวนา.. เติบโตใต้เงาป่าอุดมคุณค่าเกษตรอินทรีย์

การประเมินคุณค่าบริการระบบนิเวศ เพื่อการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

การประเมินคุณค่าบริการระบบนิเวศ
เพื่อการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ด้วยเป้าหมายที่ต้องการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำอย่างจริงจังและยั่งยืน โครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า     มีวนา จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (BEDO)

จัดทำการประเมินคุณค่าบริการระบบนิเวศ ในพื้นที่โครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า . เชียงราย 

สรุปมูลค่าบริการระบบนิเวศของพื้นที่ในโครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า มีวนา พื้นที่ 4,671.25 ไร่

คิดเป็นมูลค่า 555,468,585.90 บาทต่อปี หรือเฉลี่ย 118,912 บาท ต่อไร่ ต่อปี

ตัวเลขนี้มาจากไหน และการเก็บข้อมูลทำอย่างไรคุณธวัชชัย  โตสิตระกูล  ที่ปรึกษา งานรับรองระบบมาตรฐาน และคุณคมศักดิ์ เดชดี ผู้จัดการทั่วไป งานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และแปรรูปเมล็ดกาแฟ เล่าถึงที่มาและขั้นตอนการทำงานของมีวนา และวิธีที่ชาวพรีเมียร์จะมีส่วนร่วมในการรักษาป่าต้นน้ำ ในคอลัมน์ “Mivana เล่าเรื่อง Core Value”

คุณธวัชชัย เล่าว่า บริษัท มีวนา ดำเนินธุรกิจกาแฟอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2555 ส่งเสริมให้เกษตรกรในจังหวัดเชียงรายปลูกกาแฟในระบบเกษตรอินทรีย์ และรับซื้อผลผลิตทั้งหมดจากเกษตรกรเพื่อแปรรูปและจำหน่าย โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นกิจการเพื่อสังคม คือ ทำหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเกษตรกร พร้อมกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 3 แห่งคือ ต้นน้ำแม่ลาว ต้นน้ำแม่สรวย และต้นน้ำแม่กรณ์  ด้วยพื้นที่ป่าต้นน้ำทั้งหมด 4,671.25 ไร่ เราแบ่งเป็นพื้นที่ในการพัฒนา 2 รูปแบบคือ 1) พื้นที่ป่าเดิมที่อนุรักษ์ไว้แล้วจึงมีการปลูกกาแฟเสริม กับ           2) การปลูกต้นไม้เสริมในพื้นที่ป่าฟื้นฟูที่มีสวนกาแฟอยู่แล้วเพื่อให้ร่มเงาสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ

คุณคมศักดิ์ เล่าว่าการประเมินคุณค่าและมูลค่าความหลากหลายของระบบนิเวศนี้ ทำขึ้นเมื่อเดือนเม..- .. ที่ผ่านมา เราได้รับเกียรติจาก ดร. พงษ์ศักดิ์ วิสวัสชุติกุล เป็นที่ปรึกษาและให้ความรู้ ซึ่งทีมงานมีวนาต้องผ่านการอบรมจาก BEDO ความท้าทายของการทำงานนี้  คือข้อมูลที่เก็บต้องมีความละเอียด ถูกต้อง ซึ่งบางพื้นที่มีความลาดชัน มาก เมื่อฝนตกก็ทำให้พื้นที่มีความลื่นกว่าปกติ และทีมงานต้องเก็บวัดผลอย่างต่อเนื่องตลอดการทำงานเพื่อให้สามารถนำไปวิเคราะห์ประมวลผลได้ตามหลักการ เราได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรที่มีความชำนาญและเข้าใจสภาพพื้นที่เป็นอย่างดี ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมฯ ทำให้ทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถวัดผลได้ตามที่ต้องการ

  1. กำหนดพื้นที่แปลงทดลองขนาด 20×40 ตารางเมตรในพื้นที่ต้นน้ำทั้ง 3 แห่ง
  2. ติดเครื่องหมายเลขที่ต้นไม้ในแปลงทดลอง ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นที่ระดับความสูงจากพื้นดิน 1.30 เมตรจากผิวดิน มากกว่า 4.5 เซนติเมตร  และต้นไม้ที่มีความสูงทั้งหมดของต้นมากกว่า 1.30 เมตร
  3. วัดความสูงของต้นไม้ (H)
  4. วัดความสูงของลำต้นจากจุดที่เป็นกิ่งแรกของต้นไม้
  5. วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของเรือนยอดของต้นไม้ทุกต้น
  6. วัดข้อมูลความลึกของชั้นดิน 
  7. เก็บข้อมูลเสริม 2 ส่วน คือ ปริมาณน้ำฝนรายปี (Ra)  และ ข้อมูลลักษณะภูมิประเทศ (CNt) เพราะเป็นปัจจัยโครงสร้างของระบบนิเวศต้นน้ำที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของน้ำผิวดิน ควบคุมการกัดชะพังทลายของดิน และศึกษาสภาพอากาศของพื้นที่

โดยผลลัพธ์ของการประเมินคุณค่าระบบนิเวศ นี้คิดเป็นมูลค่า 555 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ย 118,912 บาท ต่อไร่ ต่อปี เป็นตัวเลขในเชิงคณิตศาสตร์ที่เราวัดทั้งความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ และการลดความสูญเสียของดินและสารอาหารที่จำเป็นต่อต้นไม้ และปัจจัยอื่นๆ  หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย คือ เมื่อเราปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ป่าต้นน้ำมากขึ้น ประโยชน์ที่จะได้รับคือ การชะลอปริมาณน้ำฝนที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์จะช่วยเก็บกักน้ำฝนลงสู่ผืนดินได้นานขึ้น ช่วยบรรเทาความรุนแรงของสภาพอากาศ นอกจากนี้ต้นไม้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ช่วยลดโลกร้อนอีกด้วย  ที่สำคัญคือเมื่อพื้นที่ป่าต้นน้ำมีความอุดมสมบูรณ์ ระบบนิเวศของผืนป่าก็จะกลับมา เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชพันธุ์ไม้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่จำเป็นต่อระบบนิเวศก็จะกลับคืนมาเช่นกัน

นอกจากนี้การปลูกกาแฟในพื้นที่ป่าของมีวนา เรายังมีการประเมินมูลค่าบริการระบบนิเวศฯ ด้วยการเรียงลำดับความหลากหลายของพันธุ์ไม้และร่มเงา (Shade Grown) เป็น 4 ระดับจากมากไปน้อยอีกด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นไม้ เพิ่มพื้นที่ป่ามากขึ้นในทุกปี เพราะหากต้นไม้มีการเติบโตสูงมากขึ้น และช่วยสร้างร่มเงาในพื้นที่ป่ามากขึ้นเท่าไหร่ สมาชิกก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นตามลำดับ

 

นอกจากการวัดประโยชน์ในด้านความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ป่าแล้วเกษตรกรยังได้รับประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ที่เราส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้ชุมชน เช่น อะโวคาโด โกโก้ พลับ และอีกมากมาย และประโยชน์ในเชิงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรก็ดีขึ้น  มีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะเป็นการทำเกษตรแบบอินทรีย์ ลดใช้สารเคมี และทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ป่า ร่วมกับภาครัฐ มีพื้นที่ทำกินและสร้างคุณค่า เป็นวิถีที่คนกับป่าอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

คุณธวัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า  จากผลลัพธ์ของการร่วมรักษาป่าต้นน้ำและเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในเชิงประจักษ์ ทำให้บริษัท มีวนาได้รับโล่เกียรติคุณจากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่มีการดำเนินกิจกรรมการตอบแทนคุณระบบนิเวศ (PES) และกิจกรรมการประเมินคุณค่าระบบนิเวศ ถือเป็นความภาคภูมิใจของมีวนาและเกษตรกรทุกคน และการทำงานลงพื้นที่เก็บข้อมูลครั้งนี้ ทำให้ทีมงานได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ทางวิชาการกับผู้เชี่ยวชาญของ BEDO ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำต่อไปในอนาคต

คุณคมศักดิ์กล่าวส่งท้ายว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ คือ การเกื้อกูล สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาครัฐ ในการทำงานร่วมกันในระยะเวลานาน เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และทำให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน หากชาวพรีเมียร์ที่ต้องการร่วมเรียนรู้วิถีการทำงานของมีวนา ก็มีกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการทำแนวกันไฟป่า การปลูกป่า การบวชป่าซึ่งเราจัดเป็นประจำทุกปี หรือเพียงแค่ร่วมบอกต่อเล่าเรื่องราวของมีวนาให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ก็ช่วยขยายผลการทำงานของมีวนาได้แล้วเช่นกัน

Raya Collection

สร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนของ Raya Collection

Raya Collection

การสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน
ของ Raya Collection

ด้วยการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ใส่ใจในทุกรายละเอียด พิถีพิถันในการดูแลทุกขั้นตอน สร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ทุกคนเมื่อมีโอกาสสัมผัสกับโครงการบ้านพักอาศัย โรงแรมทั้ง 3 แห่ง สถานที่จัดงาน ร้านบูทีคช้อปที่นำเสนอสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และที่สำคัญได้นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 30 ปีในธุรกิจดังกล่าว ขยับตัวเข้าสู่ธุรกิจน้องใหม่ Creative Agency ที่พร้อมให้คำปรึกษาด้าน Hospitality & Design ครบวงจร เรากำลังพูดถึง Raya Collection จากสายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เรามาทำความรู้จักธุรกิจทั้งหมดของ Raya Collection ว่าทำธุรกิจอะไรบ้าง และมีความโดดเด่นอย่างไร

การสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนของ Raya Collection

คุณทิพย์ชยา พงศธรกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม เล่าว่าที่ผ่านมาคนส่วนมากจะรู้จักเราแบบแยกส่วนเช่น โรงแรมรายาวดี โรงแรมแทมมาริน วิลเลจ เชียงใหม่ แต่คนจะไม่รู้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของธุรกิจเราเท่านั้นเป้าหมายของการสื่อสารแบรนด์ Raya Collection เพื่อต้องการให้คนรู้จักเราในภาพรวมมากขึ้น และเราก็ต้องการที่จะเป็นหนึ่งในธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยในด้าน Hospitality & Design ที่นำคุณค่าหลักของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ คือความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนเป็นแนวปฏิบัติในการทำงานมาตลอด 30 ปี ซึ่งนิยามความโดดเด่นของ Raya Collection มี 4 ด้านหลักคือ

  • ความซาบซึ้งและหวงแหนในวัฒนธรรมพื้นถิ่น (Local Appreciation)ไม่ว่าเราจะไปทำธุรกิจในพื้นที่ใด เรามีความชื่นชมกับสิ่งรอบตัว ทั้งความสวยงามของทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ทะเล ภูเขา หรือในแง่ของวัฒนธรรม สินค้าพื้นเมือง สิ่งที่เราทำนอกจากการรักษาความสวยงามของธรรมชาติ เรายังร่วมเสริมให้พื้นที่นั้นมีความโดดเด่นมากขึ้น ทั้งในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสินค้าพื้นเมืองให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและจับต้องได้ เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนมากขึ้น
  • ความยั่งยืน (Sustainability) เราต้องการเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน อยู่กับชุมชนนั้นได้อย่างยาวนาน เมื่อเราเข้าไปทำธุรกิจในพื้นที่ใดก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือชุมชนและสังคมที่นั่น ดังนั้นการออกแบบก็จะดีไซน์ให้มีความสวยงามเหนือกาลเวลา (Timeless Design) กลมกลืนและไม่ทำร้ายธรรมชาติ
  • การยกระดับพัฒนาชุมชน (Community Engagement) เรามีการสร้างความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชนต่อเนื่อง เพื่อที่เราจะเป็นเพื่อนบ้านกันอย่างยาวนาน
  • มากไปกว่านั้น คือ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในพื้นที่ (Creative Economy) ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณค่าและความหมายมากขึ้น

แก่นของการทำธุรกิจทั้ง 4 ด้านนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในทุกงานที่เราทำภายใต้ Raya Collection ประกอบด้วย โรงแรมรายาวดี กระบี่, โรงแรมแทมมาริน วิลเลจ และโรงแรมรายาเฮอริเทจ เชียงใหม่, สถานที่สำหรับจัดงาน The Botanical House, ด้วยจุดแข็งของการทำธุรกิจโรงแรม เราได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์รายา เรสซิเดนซ์ที่นำแนวคิดของการพักผ่อนที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เงียบสงบ มาออกแบบพื้นที่ส่วนตัวที่ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน รวมไปถึงเรา มีการเปิดร้าน Raya Curated Collection ที่ทีมดีไซเนอร์ลงพื้นที่ทำงานกับชุมชน ร่วมกับ Artisan (ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและงานฝีมือ) ในพื้นที่ สร้างสรรค์สินค้าที่โดดเด่นและทรงคุณค่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า สามารถเลือกซื้อสินค้าได้จากช่องทางออนไลน์ ที่ https://therayacuratedcollection.com/

นอกจากนี้ เราได้เริ่มงานRaya Creative Keysที่เป็นธุรกิจ Hospitality & Design Creative Agency น้องใหม่ ที่เรานำความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจโรงแรมมาตลอด 30 ปี มาช่วยพัฒนาโปรเจกต์ให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเราจับงานด้านนี้มา2 – 3 ปีแล้วสร้างความโดดเด่น สร้างคุณค่าและเติมเต็มทุกความต้องการทางธุรกิจให้กับลูกค้าอย่าต่อเนื่อง เริ่มมีผลงานฝากฝีมือกับโรงแรม และงานดีไซน์ให้เป็นที่รู้จักในวงการมากขึ้น

Raya Creative Keys คือ การออกแบบประสบการณ์ที่ครบวงจร

คุณต๋อย ชุติมา เรืองฤทธิ์ราวีที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม เล่าว่าจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโรงแรมรายาเฮอริเทจ ที่เชียงใหม่ เมื่อปี 25… เป็นผลงานที่เราภูมิใจ ทั้งการออกแบบ การดีไซน์ประสบการณ์ที่แขกจะได้รับตั้งแต่ย่างก้าวแรก จนเป็นเสมือน Showcase จากแขกที่ไปพักซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องการลงทุนทำโรงแรม ก็กลายมาเป็นลูกค้าเรา ให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบประสบการณ์ให้กับแขกที่จะมาพักในโรงแรมของเขา หรือลูกค้าบางท่านก็วางใจให้เรามีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกทำเลพื้นที่เลยทีเดียวส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีวิสัยทัศน์ มุมมองในการทำธุรกิจที่ใกล้เคียงกับเรา ใส่ใจในศิลปะและวัฒนธรรมพื้นถิ่นอันทรงคุณค่า คำนึงถึงความยั่งยืน ถือเป็น Positive Energy ที่ดีมาก ๆ ที่เราจะสร้างความเข้มแข็งการการทำธุรกิจที่ยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

คุณเต้ พุฒิเศรษฐ์ จันทร์ศิลาAccount Manager เสริมว่า เราดูแลงานให้ลูกค้าหลากหลาย ทั้งการสร้างแบรนด์ ดึงความโดดเด่นของสินค้าและบริการ หยิบยกมาเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ส่วนที่ 2 คือ งานดีไซน์ ครอบคลุมทั้งแต่งานออกแบบ งานตกแต่งภายใน การออกแบบประสบการณ์ของแขกที่จะมาพักหรือใช้บริการ ทั้งรูป รส กลิ่นสี ตามที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้โรงแรมมีความโดดเด่นแตกต่าง สร้างความประทับใจให้แขกที่มาพัก สุดท้ายคือ งานบริการ ที่เราจะช่วยกำหนดมาตรฐาน การบริหารจัดการระบบ และงานบริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำมาตรฐานนี้ไปใช้บริหารงานต่อไปได้ในอนาคต

ความท้าทายของทำงานครีเอทีฟ เอเจนซี่

หากจะถามว่าส่วนที่ยากที่สุดของการทำงานเอเจนซี่คืออะไร คุณต๋อย เล่าว่า ด้วยความที่เราไม่เคยจับงานธุรกิจให้คำปรึกษามาก่อน เราเคยทำแต่งานอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่เป็นของเราเอง เมื่อวันที่เราปรับบทบาทตนเองมาให้บริการลูกค้า สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าไปนั่งในใจของลูกค้า ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด เมื่อเราเริ่มทำงานกับลูกค้า โปรเจกต์หนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือนจนถึง 2 ปี ดังนั้นการสื่อสาร การพูดคุยทำความเข้าใจความต้องการ การหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนให้งานของลูกค้าประสบผลสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญมาก ทีมก็ต้องทำงาน ค้นคว้าหาข้อมูล เพิ่มทักษะการนำเสนอที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ ดูแลจนโปรเจกต์สำเร็จเป็นสิ่งที่ทีมได้เรียนรู้ทุกวัน

อีกมุมหนึ่งก็เป็นความสนุกที่ทีมงานทุกคนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอด ได้ทำงานลงพื้นที่ ในจังหวัดที่เราไม่คุ้นเคย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นประสบการณ์ที่จะสั่งสมให้เราสามารถทำงานให้คำปรึกษากับลูกค้าได้ดีขึ้นในงานต่อไปในอนาคตเป็นคำที่คุณรินกล่าวทิ้งท้ายและขอฝากแบรนด์ “Raya Collection” ให้ทุกคนได้เข้ามาเรียนรู้ ทำความรู้จักได้ที่ https://raya-collection.com/ หรือหากต้องการทำงานร่วมกับ Raya Collection สามารถติดต่อได้ที่ คุณเต้ พุฒิเศรษฐ์ Phuttised.c@raya-collection.com

DCSรับมือภัยไซเบอร์

DCS รับมือ…ภัยไซเบอร์

DCSรับมือภัยไซเบอร์

DCS รับมือ...ภัยไซเบอร์
ด้วยการเข้าถึงระบบอย่างปลอดภัย

ดีซีเอส ร่วมกับ เอ็กคลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ และ พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ผู้นำระดับโลกด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ จัดสัมมนาเพื่อแนะนำและสร้างความตระหนักให้ทุกองค์กรเข้าสู่ Zero Trust Network Access 2.0 (ZTNA 2.0)  ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ ของการเข้าถึงระบบอย่างปลอดภัย 

โดย ZTNA ได้พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนเครือข่ายส่วนตัวแบบเสมือน (VPN) เหตุเพราะไม่สามารถขยายขอบเขตบริการได้เพียงพอและยังให้สิทธิ์ที่มากเกินจำเป็น บวกกับผลิตภัณฑ์ ZTNA 1.0 ยังมีความไว้วางใจมากเกินไป ส่งผลให้ผู้ใช้งานเกิดความเสี่ยงในท้ายที่สุด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขใน ZTNA 2.0 โดยได้ยกเลิกการตั้งค่าความไว้วางใจโดยปริยายเพื่อให้มั่นใจได้ว่าองค์กรจะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ

ด้วย ZTNA 2.0 เช่น Prisma® Access จากพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ จะช่วยให้องค์กรพร้อมรับมือกับความท้าทายเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งในด้านแอพพลิเคชันยุคใหม่ ภัยคุกคาม และบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริด 

ZTNA 2.0 มาพร้อมคุณสมบัติหลักที่สำคัญดังต่อไปนี้

  • สิทธิ์การเข้าถึงน้อยสุดเท่าที่จำเป็น (Least-privileged access)
  • การยืนยันความไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง (Continuous trust verification)
  • การตรวจสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง (Continuous security inspection)
  • ปกป้องข้อมูลทั้งหมด (Protection of all data)
  • รักษาความปลอดภัยให้กับทุกแอปพลิเคชัน (Security for all applications) ปัจจุบัน Prisma Access เป็นโซลูชันเดียวในอุตสาหกรรมที่ผ่านข้อกำหนดของ ZTNA 2.0 ในวันนี้

DCS ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร พร้อมให้คำปรึกษาด้านระบบรักษาความปลอดภัยให้กับองค์กรชั้นนำ รับมือ…ภัยไซเบอร์ 

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ : คุณสุชาดา เหมประชิตชัย (หลิน) Email : Suchada.h@dcs.premier.co.th

Raya Creative Keys

Raya Creative Keys ครีเอทีฟเอเจนซี่ ธุรกิจใหม่จาก PRH

Raya Creative Keys

ส่งต่อคุณค่าภูมิปัญญาของชุมชน
สู่งานออกแบบ และให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาธุรกิจครบวงจร
กับ Raya Creative Keys ครีเอทีฟเอเจนซี่ ธุรกิจใหม่จาก PRH

หลายท่านได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ร้านMivana Flagship Store” ที่นอกจากความอร่อยของกาแฟ และเครื่องดื่ม สิ่งที่โดดเด่นก็คือการตกแต่งพื้นที่ร้านด้วยความประณีตบรรจงและลงตัว ทั้งเฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ และต้นไม้โดยรอบ ที่สำคัญคือการออกแบบวิธีการสื่อสารอย่างกลมกลืนในการเชื่อมต่อร้านกาแฟกับพื้นที่เพาะปลูกกาแฟที่ป่าต้นน้ำจ.เชียงราย ที่สร้างความตระหนักให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  รวมถึง“Home Cuisine” ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง ที่ทั้งอร่อยและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน  

เบื้องหลังวิธีคิดและการออกแบบของทั้งสองโครงการนี้เป็นฝีมือของRaya Creative Keys  ครีเอทีฟเอเจนซี่ ธุรกิจน้องใหม่ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรม ที่เริ่มเปิดบริการให้สายธุรกิจในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์และลูกค้าทั่วไป ทั้งงานออกแบบอสังหาริมทรัพย์ การออกแบบผลิตภัณฑ์และงานดีไซน์ที่หลากหลาย

คุณทิพย์ชยา พงศธร  กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม   คุณชุติมา เรืองฤทธิ์ราวี  ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม และคุณพุฒิเศรษฐ์ จันทร์ศิลา General Manager, The Botanical House จะมาบอกเล่าเรื่องราวของ Raya Creative Keys  

เพิ่มศักยภาพของพนักงานที่มาและจุดเริ่มต้น

คุณชุติมา เล่าถึงที่มาว่าเรามีการส่งเสริมพัฒนาพนักงานโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือการทำ Cross training ให้พนักงานในธุรกิจโรงแรมทั้ง 3 แห่งได้หมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่การทำงาน เปิดมุมมองให้กว้างขึ้น และ ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากงานประจำในทุกวัน เป็นหลักคิดที่เรานำพนักงานเป็นที่ตั้ง ว่าเราจะต้องส่งเสริมให้พนักงานมีคุณภาพ มีความรู้และประสบการณ์การทำงานที่กว้างมากขึ้ เป็นจุดเริ่มต้นว่าธุรกิจที่จะพัฒนาขึ้นนั้น  จะเกิดประโยชน์กับพนักงานให้เขาได้ฝึกฝนและมีความรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ  และ การพัฒนาธุรกิจนั้นสร้างรายได้ให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน ส่งเสริมชุมชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่เราไปดำเนินการ และ ร่วมมือ กับ partners ที่มีจุดยืนและวิสัยทัศน์ เช่นเดียวกัน

คุณทิพย์ชยา เสริมในรายละเอียดว่าเราได้ริเริ่มคิดว่าจะพัฒนาศักยภาพพนักงาน ให้ได้เปิดหูเปิดตา ได้จับงานใหม่ๆ มากขึ้น เรามองเห็นว่าพนักงานสามารถนำประสบการณ์ทำงาน ไปพัฒนาโครงการให้กับธุรกิจในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ได้  ประกอบกับช่วงโควิดที่ธุรกิจโรงแรมไม่ค่อยยุ่งนัก จึงนำคนของเราไปรับโปรเจกต์ใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เป็นการทำงานแบบ On the job training  ซึ่งพนักงานก็ได้ใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณค่าหลักขององค์กรในการฝึกปฏิบัติลงมือทำงานจริงๆ  ก็พบว่าทุกคนดีใจที่ได้จับงานใหม่ๆ ได้พัฒนาทักษะความสามารถของตัวเองเพิ่มขึ้นจากงานประจำ ได้ลองสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม รวมถึงก็เป็นการเพิ่มทักษะการบริหารจัดการเวลา ด้วยความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น จากงานประจำในธุรกิจหลักของ PRH ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราก็รับงานมาเรื่อยๆ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนเกิดเป็นรูปเป็นร่างที่จะพัฒนาเป็นธุรกิจใหม่นี้ขึ้น

ความโดดเด่นของ Raya Creative Keys

คุณทิพย์ชยา เล่าต่อว่า “Raya Creative Keys จะเป็นครีเอทีพเอเจนซี่ที่รับงาน 3 ประเภทหลัก คือ  1. งานพัฒนาโครงการที่เป็น Turnkey ในสายธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร คือ รับทำตั้งแต่การวางแบรนด์คอนเซปต์ การออกแบบและบริหารโครงโครงการก่อสร้าง ดูแลงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง รวมไปถึงการจัดงานเปิดตัว การฝึกอบรมพนักงานก่อนที่เปิดดำเนินการ และรับงานบริหารจัดการต่อเนื่องอีกด้วย  งานประเภทที่ 2 คือ งานออกแบบดีไซน์ เป็นโปรเจกต์สนุกๆ ซึ่งมีหลากหลาย ทั้งการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ การออกแบบสื่อสิงพิมพ์ รวมถึงธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม จะเป็นงานออกแบบประสบการณ์ความพึงพอใจที่ผู้บริโภคจะได้รับ (Experience Design)  ซึ่งต้องผ่านการคิดและออกแบบประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับตั้งแต่เดินเข้ามาในสถานที่นั้นๆ ครอบคลุมทั้งอาหารและเครื่องดื่ม การแต่งกายของพนักงาน รวมถึงการบริการ บรรยากาศภายในร้านทั้งเสียงดนตรี กลิ่นสัมผัสทุกองค์ประกอบ เป็นงานที่เรามีความเชี่ยวชาญและได้ฝากฝีมือกับร้านกาแฟ Mivana Flagship Store ที่ศรีนครินทร์และทำงานต่อเนื่องร่วมกับมีวนา เตรียมจะเปิดอีก 1 สาขาภายในกลางปีนี้  และส่วนสุดท้ายคือเราต้องการถ่ายทอดเรื่องราวศิลปวัฒนธรรมไทยและการเชื่อมต่อกับชุมชน ที่เรามองไปถึงการจัดนิทรรศการ การโปรโมทศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่น 

คุณพุฒิเศรษฐ์ ได้มารับหน้าที่บริหารจัดการโปรเจกต์ต่างๆใน Raya Creative Keys เสริมว่า หากให้นิยามตัวตนของ Raya Creative Keys  เราก็คือ บริษัทไทยที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจโรงแรม และการบริการที่ครบวงจรมาอย่างยาวนาน สิ่งที่เราต้องการส่งต่อให้กับลูกค้าคือ ภูมิปัญญาของชุมชน ผ่าน 3 แกนหลัก คือ การหล่อเลี้ยงคุณค่าของศิลปะวัฒนธรรมไทย (nurturing the value of Thai culture and heritage art) การผสานและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (enhancing the strong relationship with nature) และการสร้างการมีส่วนร่วมและพัฒนาชุมชน (initiating community engagement) ดังนั้นไม่ว่าเราจะรับงานประเภทใดก็ตาม เราก็ต้องไม่ลืมตัวตนของเรา และส่งต่อสิ่งเหล่านี้ด้วยคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ให้กับลูกค้าเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

คุณรินเสริมว่า เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่ลูกค้าภายนอกตอบรับและให้ความสนใจ Raya Creative Keys ด้วยความแตกต่างของเราในเรื่องศิลปะวัฒนธรรม การอนุรักษ์ธรรมชาติ ความยั่งยืน และเห็นความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของโรงแรมทั้ง 3 แห่งที่เราดำเนินการอยู่ ซึ่งเหล่านี้เป็นจุดที่คนให้ความใส่ใจมากขึ้น ผู้คนต้องการสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ มีความโดดเด่นแตกต่าง และคำนึงถึงความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งลูกค้าที่มาร่วมงานกับเราก็จะเป็นกลุ่มคนที่คำนึงถึงความยั่งยืนเช่นเดียวกับแนวปฏิบัติของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์จริงๆ 

 กระบวนการค้นหาความต้องการของลูกค้าสิ่งสำคัญลำดับแรกเมื่อเริ่มต้นงาน

ในส่วนของการพัฒนางานร่วมกับลูกค้านั้น พี่ต๋อยได้อธิบายว่า ในขั้นตอนแรกนั้นการวางแผนงานและกระบวนการค้นหาความต้องการว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการนั้นคืออะไร ซึ่งการได้มาของข้อมูลที่แท้จริงจะมาจากประสบการณ์ที่เราได้ทำงานกับลูกค้าหลากหลาย เพราะฉะนั้นก่อนเริ่มงาน เราต้องอ่านลูกค้าให้ออกว่าเขาต้องการอะไร และจับทิศทางให้ได้ เราก็เปรียบเสมือนนักขาย ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ต้องเข้าไปนั่งอยู่ในใจของลูกค้าให้ได้ หากเราทำการบ้านส่วนนี้ได้ชัดเจน ก็เปรียบเสมือนแผนงานสำเร็จไปแล้ว 70% หลังจากนั้นการทำงานตามขั้นตอนในทุกรายละเอียดก็จะดำเนินไปได้ตามเป้าหมาย พี่จะบอกน้องในทีมเสมอว่าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในสายธุรกิจของเราเองหรือลูกค้าภายนอก ทุกคนต้องใช้ความพยายาม ทุ่มเทในการทำงาน 100 % เต็มเสมอ 

ทีมเวิร์ค การสื่อสารระหว่างกันช่วยผลักดันให้งานสำเร็จ

หากจะพูดถึงจุดแข็งของทีม คุณรินและคุณเต้กล่าวตรงกัน ว่าการสื่อสาร การพูดคุยกับทีมตลอดเวลา ด้วยขนาดของทีมที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้เราสนับสนุนกันได้ทุกเรื่อง ก่อนที่จะรับงานก็จะหารือกันก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ จัด Balance ระหว่างงานประจำกับงานโปรเจกต์ เพื่อให้มีเวลาในการคิดสร้างสรรค์งานได้อย่างมีคุณภาพและเสร็จตรงตามเวลาที่กำหนด โดยคุณเต้จะเป็นผู้ดูแลโปรเจกต์ ดูแลน้องในทีม ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการทำงานที่เป็นระบบ สื่อสารระหว่างกันในทีมตลอดเวลา ทั้งทีมดีไซน์, ทีม Stylist, ทีม Food & Beverage รวมถึงทีม Sale & Marketing ทุกคนต้องผสานความร่วมมือกันเพื่อให้งานเสร็จตามเป้าหมาย 

คุณเต้บอกกับเราว่าทุกวันนี้มีความสุข และสนุกกับการทำงานมาก มีโปรเจกต์ใหม่ๆ เข้ามาให้เราได้เรียนรู้อย่างหลากหลายมากขึ้น ได้พัฒนาทักษะของตัวเองเรื่อง People Management รวมถึง Project Management มากขึ้น และน้องในทีมก็ได้พัฒนาทักษะ เติบโตไปพร้อมกับเรา เป็นสิ่งที่ดีมากๆ 

คุณรินเล่าถึงโปรเจกต์ที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันว่า นอกจากร้านกาแฟมีวนาแล้ว ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์เราได้ร่วมพัฒนาแบรนด์Home Cuisineผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง ของ PFP  ตั้งแต่การคิดเมนู การพัฒนาสูตรอาหาร การออกแบบบรรจุภัณฑ์และการตลาด รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารแมวCat Atlasของ PCI ทีมได้ดูแลการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์และวางแผนการตลาด ส่วนลูกค้าภายนอกก็มีทั้งโปรเจกต์โรงแรมในกรุงเทพฯ และการออกแบบตกแต่งที่พักอาศัยให้กับลูกค้าที่ชอบสไตล์ของรายาวดี ซึ่งแต่ละโปรเจกต์ก็มีความยากง่ายแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราต้องมีการทำงานสื่อสารกับลูกค้า ทำความเข้าใจลูกค้าให้ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร และการบริหารความคาดหวังที่ต้องทำงานให้ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าให้ดีที่สุด

คุณเต้ สรุปตอนท้ายว่าในการทำงานเชื่อว่าทุกอย่างมีความท้าทาย งานทุกโปรเจกต์มีความยากง่ายและปัญหาที่ต้องพบแตกต่างกัน เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา ผมคิดว่าทีมเวิร์คเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ต้องปรึกษากันตลอดเวลา เพื่อช่วยกันผ่านปัญหาและสิ่งที่เจอในทุกจุดให้ผ่านไปได้และลูกค้าก็ได้รับความพึงพอใจ รวมไปถึงน้องในทีมก็ต้องได้มีการพัฒนาศักยภาพในการทำงานด้วยงานที่หลากหลายด้วยเช่นกัน

Key Learning

  • โอกาสทางธุรกิจ เกิดขึ้นได้เสมอ ต้องเตรียมพร้อมและพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
  • การปรับสภาพแวดล้อม  การริเริ่มทำสิ่งใหม่ เป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาศักยภาพพนักงาน
  • การผสานความรู้ ความร่วมมือและการสื่อสาร เป็นสิ่งสำคัญช่วยให้ทีมมีประสิทธิภาพในการทำงาน
  • กระบวนการค้นหาความต้องการของลูกค้าให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน
  • การวางแผนงานอย่างละเอียดรอบคอบ เป็นปัจจัยที่ทำให้งานประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

สายธุรกิจที่สนใจใช้บริการของ Raya Creative Keys ติดต่อที่

คุณเต้ พุฒิเศรษฐ์  อีเมล Phuttised.C@prh.premier.co.th โทร 0955311856

PM Food

การสร้างความมั่นคงทางอาหาร แผนธุรกิจสู่ความยั่งยืนของ พี.เอม.ฟูด

PM Food

การสร้างความมั่นคงทางอาหาร
แผนธุรกิจสู่ความยั่งยืนของ พี.เอม.ฟูด

ปัญหาอาหารกลางวันในโรงเรียนขาดคุณภาพ ข่าวถาดหลุมของเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่มีแต่ข้าวและน้ำผัก ฯลฯ เป็นสิ่งที่เราเห็นจนชินตา และเป็นปัญหาหมักหมมที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยมาต่อเนื่อง หากมองไปถึงสาเหตุนั้น ก็เกิดขึ้นทั้งจากการทุจริตงบประมาณค่าอาหารกลางวันของเด็กนักเรียน การขาดความรู้ด้านโภชนาการของครูและโรงเรียน การขาดแคลนบุคลากรที่จะทำงานดูแลด้านโภชนาการให้กับเด็ก การขาดแหล่งเพาะปลูกทางการเกษตรที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล และอีกมากมาย ส่งผลให้เด็กไทยกว่า 2.9 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของเด็กอายุ 6-14 ปี ขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ 

ปัญหาเหล่านี้ ฟู้ดฟอร์กู๊ด ได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็ก ร่วมกับโรงเรียนในเครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาที่ทีม ฟู้ดฟอร์กู๊ด ได้นำเสนอกระบวนการทำงานและสิ่งที่ต้องการความร่วมมือกับพนักงานและผู้บริหารจากทุกสายธุรกิจที่งานคนจริง X มูลนิธิ ร่วมสร้างสังคมดี  ร่วมกับหลายหน่วยงานในสายงานพัฒนาความยั่งยืนของสังคม จุดประกายให้คุณเก่งและทีมงานของ พี.เอม.ฟูด ผู้ผลิตปลาสวรรค์ทาโร ได้เห็นช่องทางในการร่วมสนับสนุนด้านอาหารและโภชนาการให้กับเด็กไทย และต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่ในอนาคตเลยทีเดียว 

คุณเก่ง วิภาส เล่าที่มาให้เราฟังว่า พี.เอม.ฟูด เป็นบริษัทที่ผลิตปลาสวรรค์ทาโร ซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวที่มีโปรตีนจากเนื้อปลา เป็นขนมที่เด็กๆ ชื่นชอบและมีประโยชน์ ที่ผ่านมาบริษัทมองถึงเรื่องการสร้างความยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร การจัดการและใช้ทรัพยากรให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด มาโดยตลอด ทั้งการส่งเสริมการพัฒนาความยั่งยืนของแหล่งวัตถุดิบต้นน้ำ ที่บริษัทจะเป็นหัวขบวนในการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่มีความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในห่วงโซ่เพื่อใช้วัตถุดิบหรือทรัพยากรในกระบวนการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากส่วนที่เหลือในกระบวนการผลิต ที่อยู่ในกระบวนการวิจัย เช่น FISH ESSENCE รวมถึงแผนงานรีไซเคิลซองทาโรที่เป็นแผนงานระยะยาวที่ต้องการความร่วมมือขนาดใหญ่ เป็นต้น

เมื่อได้เข้าร่วมงานคนจริง เมื่อปีที่ผ่านมา และได้ฟังทีม ฟู้ดฟอร์กู๊ด เล่าถึงการทำงาน ก็เหมือนภาพที่ต่อกันติดอย่างรวดเร็ว ว่าพี.เอม.ฟูด สามารถช่วยได้จากการดำเนินธุรกิจของเราเอง จึงได้กลับมาหารือกับทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ พบว่ากระบวนการผลิตสินค้าทาโรโรล ที่ต้องมีมาตรฐานความยาว 2 เมตรพอดี เป็นคุณภาพที่เรายึดมั่นกับลูกค้าที่ต้องส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุด แต่ส่วนที่เหลือนั้น ก็เป็นวัตถุดิบที่อยู่ในกระบวนการผลิต ที่ยังมีสารอาหารครบถ้วน  เราสามารถที่จะดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เสริมสร้างโปรตีนให้กับเด็กๆได้ เป็นการทำงานไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ แต่ยังช่วยลดต้นทุนด้านการจัดการของเสียอีกด้วย สอดคล้องกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และใช้ความเชี่ยวชาญที่เรามีเพื่อไปช่วยแก้ปัญหาสังคม เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน ที่จะดำเนินการในปี 2566 นี้ 

คุณปูน้อย จิตราภรณ์ โสวภาส ผู้จัดการฝ่ายประกันคุณภาพ เล่าว่าจากที่ได้ฟังคุณวิเชียรนำเสนอในประชุมใหญ่พนักงาน (งาน TOWNHALL)  ประโยคที่ว่าเราจะต้องนำธุระของสังคมมาเป็นเรื่องของเรา เราต้องไม่นิ่งดูดายกับปัญหาจุดประกายให้เราอยากมีส่วนร่วมในงานภาคสังคมมากกว่าการบริจาค และการทำงานของเราก็สอดคล้องกับฟู้ดฟอร์กู๊ด ด้านอาหารและโภชนาการที่ดีอยู่แล้ว จึงได้ร่วมกันคิดและพัฒนากับทีม ในการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ในกระบวนการผลิต มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนโภชนาการที่ดีของเด็กนักเรียน   ซึ่งการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ในกระบวนการผลิต เป็นงานที่เราเชี่ยวชาญ โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนในการผลิตหรือเพิ่มเครื่องจักร เพียงเพิ่มกำลังคนในการดำเนินการเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างประโยชน์ ให้เด็กที่จะได้รับประทานอาหารที่มีโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยได้เท่าทวีคูณ ซึ่งเราทำงานร่วมกับฟู้ดฟอร์กู๊ด และบมจ. พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง มาตั้งแต่เดือนต.. 2565  ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดลองผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของโรงเรียน 

ทว่าหลังจากที่ได้นำเสนอแผนการทำงานที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กในโครงการฟู้ดฟอร์กู๊ด ทีมพี.เอม.ฟูด ก็ได้รับคำแนะนำว่าการผลิตภัณฑ์ที่ทีมได้ทดลองพัฒนาขึ้นมานี้ สามารถขยายผลเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product) ออกสู่ตลาดให้กับสายธุรกิจอุปโภคบริโภคได้ ทำให้พี.เอม.ฟูด และพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง สามารถขยายธุรกิจจากผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ไปสู่ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารได้ในอนาคต

คุณเก่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนของพี.เอม.ฟูด ในปี 2566 เรามีแผนใหญ่ๆ อยู่ 3 ด้าน คือ
การเพิมผลิตภาพการพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและมีความยั่งยืน  – การสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาสังคม เรามุ่งเน้นและเอาใจใส่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ การพัฒนาแผนการทำงานที่สร้างผลกระทบเชิงบวก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ การลดปริมาณของเสียจากกระบวนการผลิต และการเลือกใช้การจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนการพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและมีความยั่งยืน  เป็นการลดความเสี่ยงโดยการบริหารจัดการแหล่งวัตถุดิบ ใช้ทรัพยากรให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด และการบริหารปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ 

  • การเพิ่มผลิตภาพ 
  • การพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและมีความยั่งยืน  
  • การสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาสังคม

คุณเก่งกล่าวสรุปในตอนท้ายว่าคุณค่าหลักเป็นที่บริษัทยึดถือในการทำงานมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพที่นอกจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค ยังมีมิติของคุณภาพของพนักงาน ที่จะต้องมีความรู้จริงในเรื่องที่จะทำ ทำงานบนพื้นฐานของข้อมูล รวมทั้งมีใจ ในความหมายคือ มีความเต็มใจ ลงมือทำ ช่วยกันเป็นทีม และพร้อมที่จะก้าวออกมาทำงานที่นอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ มาร่วมกับงานภาคสังคม หรืองานสร้างความร่วมมือกับทุกๆ ฝ่าย 

สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แผนงานสำเร็จของบริษัทตามเป้าหมายจากความร่วมมือของทุกคน รวมถึงหน่วยงานภาคสังคม บริษัทต่างๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของเรา ล้วนแต่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หากเราเปิดโอกาสให้ตนเองได้ทำงาน  ต่อยอดสิ่งที่เราทำอยู่ให้ดีขึ้น หรือคิดสิ่งใหม่ๆที่เกิดประโยชน์ร่วมกัน จะให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมเพิ่มขึ้นได้อีกมาก  จากแผนงานทั้ง 3 ส่วน เรามุ่งหวังสร้างความสำเร็จทั้งในด้านธุรกิจ  พนักงานได้มีโอกาสส่งมอบคุณค่าสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคม เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เกิดการขยายผลต่อเนื่องในห่วงโซ่ธุรกิจ เพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนครับ

This site is registered on wpml.org as a development site.