บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ได้รับรางวัล “Key Project Success Award” จากงาน Huawei Thailand Fusion Ecosystem Solar Summit 2024

บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ได้รับรางวัล
“Key Project Success Award”
จากงาน Huawei Thailand Fusion Ecosystem Solar Summit 2024

บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ที่มีจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจ จากการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่นับวันถูกทำลายและใช้อย่างสิ้นเปลือง  จึงส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดอย่างรู้คุณค่ามาโดยตลอด 

บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ได้รับรางวัล “Key Project Success Award”   จากงาน Huawei Thailand Fusion Ecosystem Solar Summit 2024  เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของบริษัทฯ ในการร่วมมือพัฒนาโครงการที่สำคัญ ด้วยแนวคิดของการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Floating Solar ขนาดใหญ่ โครงการนำร่องการใช้ Smart PV Optimiser ในโครงการ Rooftop ทั้งกลุ่ม C&I และ Residential ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนาน กับการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของธุรกิจพลังงานสะอาด และความพร้อมของทีมบริการหลังการขายอย่างครบวงจร 

และเป้าหมายในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการสำคัญอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้บริการครบวงจรกับทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่าย ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

บมจ. พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ ร่วมสนับสนุนสื่อการเรียนการสอน เพื่อโรงเรียนในโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์

บมจ. พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ ร่วมกับ บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด
ร่วมสนับสนุนสื่อการเรียนการสอน
เพื่อโรงเรียนในโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์

การสร้างโอกาสทางการศึกษาจะช่วยพัฒนาให้เด็กไทยได้รับความรู้ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและ

พัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กไทย ให้เข้าถึงสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ

บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด มหาชน และ บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด จึงได้ร่วมเป็นคุณโอกาสร่วมสนับสนุนอุปกรณ์สื่อโทรทัศน์ เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน สำหรับนักเรียน และคุณครูโรงเรียนบ้านสบเตี๊ยะ จังหวัดเชียงใหม่ โดย คุณพรศักดิ์ สินคณารักษ์ และ คุณปัทมา ศรีอริยนันท์ ได้ร่วมส่งมอบให้กับโรงเรียนเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา  

เพราะทุกการร้อยพลังเพื่อสร้างสังคมดี จากคนในสังคม จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะส่งผลให้เยาวชนและสังคมได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน 

ชาวพรีเมียร์สามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิฯ ได้ที่
www.yuvabadhanafoundation.org

TDRI EIS’s Exclusive Briefing on “Sustainability Can Companies be both Sustainable and Profitable?

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์
ร่วมแสดงมุมมองการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน บนเวที
TDRI EIS’s Exclusive Briefing on “Sustainability:
Can Companies be both Sustainable and Profitable?

เวที  TDRI EIS’s Exclusive Briefing on “Sustainability: Can Companies be both Sustainable and Profitable?”      ที่จัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI)  โดยภายในงานได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน  โดยคุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนในงานว่า 

ในอดีตจนถึงปัจจุบัน การสร้างกำไรกับการสร้างความยั่งยืน มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้สองสิ่งนี้เดินไปในทิศทางเดียวกันได้ คือสัญญาณมากมายที่เกิดขึ้น ทั้งภัยพิบัติจำนวนมาก  อีกทั้งปัญหาที่เราประสบพบเห็นในการดำเนินธุรกิจ ทั้งเรื่อง การศึกษาของไทย, ปัญหาเรื่อง PM 2.5,  การขาดธรรมาภิบาล,  เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ที่ส่งผลกระทบต่อเราเป็นอย่างยิ่ง  หากธุรกิจยังมองว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของฉัน เรื่องของธรรมาภิบาล ไม่ใช่เรื่องของฉัน ก็จะทำให้ปัญหาแหล่านี้มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น 

การสร้างความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่นั้น ทั้งกลุ่มธุรกิจและผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ทั้งคู่ค้า   ลูกค้า  และพนักงาน คือคนสำคัญที่จะเป็นผู้มาสนับสนุนให้เกิดขึ้น  และเชื่อว่าในอนาคตจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ  ศักยภาพของทางธุรกิจในการเป็นผู้เล่น นอกเหนือจากตัวเราเอง เราก็ต้องจัดการเรื่องการใช้พลังงาน การดูแลพนักงานให้ดี ธุรกิจก็จะมีศักยภาพมากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง จึงอยากให้เห็นความสำคัญของการเป็นผู้ที่ยื่นมือออกไปช่วยทำให้ระบบนิเวศหรือปัจจัยแวดล้อมที่เราทำธุรกิจกันอยู่ให้เข้มแข็งขึ้น ลดความเสี่ยงต่างๆ ที่เราเผชิญกันอยู่ เชื่อว่าหากทุกคนร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งปัจจุบันมีโมเดลต่างๆ  ที่เป็นเครื่องมือให้เกิดการมีส่วนร่วมได้มากมาย  ทั้งเรื่องธรรมาภิบาล  ทุจริตคอร์รัปชัน  การศึกษา ความเหลื่อมล้ำ เราสามารถยื่นมือออกไปเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขได้ 

สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว ในทางปฏิบัติ ธุรกิจต้องไม่ไปทำลาย ทำร้ายสิ่งแวดล้อม เราต้องดูแลรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน เราก็ต้องพร้อมที่จะลงทุน ลงแรง ทรัพยากรเงิน ทรัพยากรมนุษย์ ที่เรามีศักยภาพหยิบยื่นไปทำให้ระบบนิเวศเราดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น

แทนที่จะถามว่าความยั่งยืนกับกำไรไปด้วยกันได้ไหมน่าจะถามว่ากำไรจะคงอยู่ได้ไหม ถ้าความยั่งยืนไม่เกิดขึ้น

กิจกรรมป้องกันไฟป่าและหมอกควัน พื้นที่จังหวัดเชียงราย ความร่วมมือของมีวนา เพื่อรักษาระบบนิเวศที่สมบูรณ์

กิจกรรมป้องกันไฟป่าและหมอกควัน พื้นที่จังหวัดเชียงราย
ความร่วมมือของมีวนา เพื่อรักษาระบบนิเวศที่สมบูรณ์

ไฟป่าที่เกิดขึ้นในทุกปีและส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง  เหตุไฟป่าเกิดขึ้นเป็นปนะจำทุกปีและมักเกิดในฤดูแล้ง ส่งผลกระทบรุนแรงมากในหลายมิติ ทั้งฝุ่นละออง หมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในพื้นที่  กล้าไม้เล็ก ๆ และต้นไม้ใหญ่ในป่าถูกทำลาย สัตว์ป่าถูกความร้อนทำร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิต  สุดท้ายสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง และใช้ระยะเวลานานกว่าจะสามารถฟื้นฟูระบบนิเวศกลับมาได้อีกครั้ง 

ที่ผ่านมาทีมเกษตรกร และทีมส่งเสริมกาแฟอินทรีย์รักษาป่ามีวนา ได้ร่วมสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกหวงแหนเป็นเจ้าของพื้นที่ร่วมกันเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการเผาป่าในพื้นที่เสี่ยง และสานต่อกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภายในพื้นที่รอยต่อจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเชื่อมต่อกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน  ผู้นำชุนชน  และชาวบ้าน

ในปีนี้ได้มีการวางแผนการลาดตระเวน 345.5 กม. และจัดทาแนวกันไฟ 42 กม. รวมทั้งสิ้นเป็นระยะทาง 387.5 กม. ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินกิจกรรมแล้วทั้ง 7 หมู่บ้าน รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 204.1 .. หรือ 53% ของแผนป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่า  เพราะเจตนารมณ์ของมีวนาคือการรักษาผืนป่าด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า ด้วยการสร้างเครือข่าย สร้างความร่วมไม้ ร่วมมือ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คนกับป่า อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน 

ขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรกาแฟมีวนา และเจ้าหน้าที่ทีมส่งเสริมที่ช่วยกันดูแลพื้นที่ป่าอย่างเข้มแข็ง และขอบคุณผู้สนับสนุนกาแฟมีวนาทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลผืนป่าไปด้วยกันเสมอ

Innova MOU

อีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่าง
บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตรองค์ประกอบไฮโดรเจลกักเก็บอนุภาคนาโนที่ห่อหุ้มน้ำมันหอมระเหย และกรรมวิธีการเตรียม” จัดขึ้นเมื่อเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารจามจุรี 4 โดย .สพ..ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณวไลรัตน์ ผ่องจิตต์ กรรมการ บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด อ.ดร. ธีรพงศ์ ยะทา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด และ ผศ.สพ..ดร.ศิรกานต์ ฐิตวัฒน์ อ. คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนามในพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตรองค์ประกอบไฮโดรเจลกักเก็บอนุภาคนาโนที่ห่อหุ้มน้ำมันหอมระเหย และกรรมวิธีการเตรียม

ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของอนุสิทธิบัตรให้แก่ บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ในการดำเนินกิจการและให้บริการค้นคว้า วิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายอนุภาคนาโนสารสกัด สำหรับสินค้าหรือบริการต่างๆ รวมถึงการประยุกต์ใช้อนุภาคนาโน ในการผลิตสินค้าหรือบริการต่างๆ

.ดร.ธีรพงศ์ ได้กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการฯ ว่า เป็นก้าวแรกที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยีที่มีความสำคัญของประเทศไทย เป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบนำ เทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น เพื่อนำส่งสารสำคัญไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเวชสำอาง อาหารเชิงฟังก์ชั่น ตลอดจนผลิตภัณฑ์ในสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจ และพัฒนาต่อยอดเป็นองค์ประกอบในระบบนำส่งสารทางเภสัชกรรมและสมุนไพร เป็นการเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองของประเทศด้านวัตถุดิบ สารสกัดจากธรรมชาติ สู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รวมทั้งเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตสินค้าด้านสุขภาพและชีวภาพในประเทศไทย ถือเป็นการส่งเสริมนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ของประเทศในอนาคต

พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตร องค์ประกอบไฮโดรเจลกักเก็บอนุภาคนาโนที่ห่อหุ้มน้ำมันหอมระเหย และกรรมวิธีการเตรียมในครั้งนี้จัดโดยศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาฯ และบริษัทพรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด

ข้อมูล บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด

จากจุดตั้งต้นที่ต้องการสร้างความยั่งยืนให้กับวัตถุดิบท้องถิ่นของไทย ให้สามารถพัฒนาเป็นสารสกัดที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน และสามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารเสริม หรือเวชสำอางที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

บริษัท พรีเมียร์ อินโนว่า จำกัด ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ และสมุนไพรท้องถิ่นของไทย ด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติของไทย และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม

DCS นำเสนอโซลูชั่น เชื่อมต่ออนาคตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ

DCS นำเสนอโซลูชั่น เชื่อมต่ออนาคตด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาองค์กร

บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS) จัดงาน DCS Solution Day – Bridging for the Better ชวนพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำกว่า 20 องค์กรร่วมจัดงานเพื่อนำเสนอระบบการบริหารจัดการทางเทคโนโลยี (Enterprise IT Solution) ที่หลากหลาย ทั้ง

  • ระบบบริหารจัดการองค์กรแบบอัตโนมัติ (Autonomous Enterprise)
  • การบริหารจัดการเทคโนโลยีมัลติคลาวด์ (Hybrid Multi-Cloud Management)
  •  โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (IT infrastructure)
  • การจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)
  •  โซลูชั่นการเฝ้าระวังระบบงาน เพื่อให้สามารถจัดการความเสี่ยงของระบบงานได้อย่างรวดเร็ว (Observability Solutions)
  •  ระบบการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk & Compliance Solution)
  •  รวมถึงโซลูชั่นเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพสร้างสภาพแวดล้อมของสถานที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย (Smart workplace solution)  และอื่นๆ อีกมากมาย

องค์กรที่สนใจโซลูชั่นต่าง ๆ เพื่อนำไปพัฒนาการบริหารจัดการองค์กรให้ทันสมัยและรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สามารถติดต่อที่ บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS)  02 684 8408 

PP IGCxHuawei
ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า สู่โอกาสทางธุรกิจ

PP IGC x Huawei
ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า สู่โอกาสทางธุรกิจ

PP IGC x Huawei 

ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า สู่โอกาสทางธุรกิจ

การทำธุรกิจสมัยนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของการตลาดด้วยวิธี Collaboration หรือที่เราเห็น แบรนด์เอ x แบรนด์บี พัฒนาธุรกิจ สินค้าและบริการใหม่ๆ ร่วมกันกำลังเป็นนิยมอย่างมาก ซึ่งการ Collab ของแบรนด์ต่าง ๆ นำมาสู่การเพิ่มคุณค่าของสินค้าและบริการ ยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจ ขยายกลุ่มลูกค้า ต่อยอดพัฒนาสู่ธุรกิจใหม่ๆ 

การผสานความรู้นั้นเป็นหนึ่งในคุณค่าหลัก ที่กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ใช้ดำเนินธุรกิจตลอดมา คุณสมชาย โรจน์อัศวเสถียร กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) นำทีมบริหารธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยการชูเรื่องการผสานความรู้สร้างความร่วมมือกับคู่ค้า ที่ไม่ได้หวังเพียงแค่ผลลัพธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมุ่งขยายผลลัพธ์ไปสู่มิติอื่นๆ ทั้งการพัฒนาสังคม การใส่ใจชุมชนรอบข้างอีกด้วย 

โครงสร้างของหน่วยงานพลังงานสะอาดแยกออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก คือ บริษัท อินฟินิทกรีน จำกัด (IGC) พัฒนาโซลาร์ฟาร์ม  ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ บมจ.พรีเมียร์โพรดักส์ (PP) ดำเนินการพัฒนาโครงการ      โซลาร์รูฟท็อปและพลังงานอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับโซลาร์รูฟท็อป ดูแลให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ โครงสร้าง การประเมินความคุ้มค่า การขอและต่อใบอนุญาตในการติดตั้ง การก่อสร้าง ตลอดจนการดูแลรักษาผลิตภัณฑ์ทั้งระบบให้กับลูกค้า ภายหลังการขาย

ทำงานร่วมกับห่วงโซ่ที่มีแนวคิดและเป้าหมายเดียวกัน

สู่การยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

คุณสมชายบอกว่า ตลอดการทำงานยึดเรื่องคุณค่าหลักของกลุ่มพรีเมียร์เสมอ ตลอดมาและไม่ลืมที่จะคอยย้ำเรื่องนี้ให้กับทีม โดยเฉพาะเรื่องการผสานความร่วมมือ เพราะทั้ง IGC และ PP ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน แต่เป็นกลุ่มที่ต่างกันออกไป อย่างคนในห่วงโซ่ของ IGC จะเป็นหน่วยงานราชการตั้งแต่ อบต. กระทรวงพลังงาน, ลูกค้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ผู้รับเหมาบำรุงรักษา (Preventive Maintenance) รวมไปถึงการดูแลคนในชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า  ในส่วนของ  PP ที่ลักษณะธุรกิจเป็นรูปแบบการค้าและบริการอย่างครบวงจร ห่วงโซ่ก็จะกว้างและหลากหลายมากกว่า ทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโซลาร์รูฟท็อปของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก อาทิ หัวเหว่ย  หรือคู่ค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม , คู่ค้ารูปแบบสัญญาการลงทุน สัญญาการดูแลรักษาระบบและอุปกรณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า PRIVATE PPA (PRIVATE POWER PURCHASE AGREEMENT และ SERVICE  CONTRACT)   ไปจนถึงลูกค้ารายย่อยบ้านอยู่อาศัยทั่วไป

จริง การเลือกทำธุรกิจกับคู่ค้า ก็เหมือนการเลือกคนแต่งงานกับเรานะ  เหตุผลที่เราเลือกคนนี้เพราะเราอยากอยู่กับเขานาน   เป็นคนที่มีความคิดใกล้เคียงกับเรา มีความเกื้อหนุนกัน สุดท้ายแล้วก็เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืน

เพราะฉะนั้นในระหว่างทางของการทำงานร่วมกับคู่ค้า เราต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการให้ความรู้ การจัดแคมเปญ สร้างกิจกรรมทางการตลาดที่จะทำให้เราและเขามีรายได้ และเพิ่มประโยชน์เกื้อหนุนร่วมกันเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการทำกิจกรรมที่ไปพัฒนาด้านสังคม ทั้งสังคมที่อยู่บริเวณรอบโรงไฟฟ้าของเรา รวมถึงสังคมโดยรวมที่ยังมีความต้องการอยู่   พร้อมขยายการมีส่วนร่วมไปสู่คู่ค้าของเราด้วยเพราะนอกจากการได้ดูแลและพัฒนาสังคมที่เป็นห่วงโซ่สำคัญของเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นแล้วยังถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นโอกาสต่อยอดสู่การสร้างธุรกิจใหม่ๆจนถึงการร่วมพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมที่เราทำนี้ให้เติบโตไปข้างหน้าพร้อมๆกันในแบบที่ยั่งยืนต่อไปได้

โครงการ Repowering ผสานความรู้กับหัวเหว่ย

เพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าทางธุรกิจ

โครงการ Repowering เป็นตัวอย่างของการทำงานแบบยกระดับห่วงโซ่คุณค่าอย่างชัดเจน เพราะผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้ก่อเกิดประโยชน์ร่วมกันในทุกฝ่าย  คุณสมชายเล่าว่าโครงการ Repowering เป็นการทำงานร่วมกัน 3 บริษัท ระหว่าง IGC, PP  และ บริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จํากัด สำหรับหัวเหว่ยเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกันมาก่อนหน้านี้ และยังมีแนวคิดการทำธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตรงกันกับเรา จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่จะร่วมพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ด้วยกัน

ครงการนี้เกิดจากความต้องการพัฒนาอุปกรณ์และระบบผลิตไฟฟ้าเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า IGC ที่ผลิตไฟฟ้ามาแล้วกว่า 10 ปี  ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ เริ่มเสื่อมลงตามสภาพการใช้งานและตามกาลเวลา เราทำงานกันอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน  ตั้งแต่ศึกษาโครงสร้าง (Layout) ของโรงไฟฟ้า ไปจนถึงประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนร่วมกัน ทดลองเปลี่ยนระบบต่างๆ ให้ทันสมัยและเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด  ยกตัวอย่างตัวแปลงกระแสไฟฟ้าตรงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับ หรือ Inverter ซึ่งก่อนหน้านี้เราใช้เป็น Single phase 4 KW ประสิทธิภาพการแปลงไฟฟ้า ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็มีอัตราประสิทธิภาพลดลงตามระยะเวลาการใช้งาน แต่ในปัจจุบัน Inverter สามารถมีประสิทธิภาพแปลงไฟฟ้าได้มากกว่า และราคาถูกลงเราจึงทดลองเปลี่ยนมาใช้ Inverter รุ่นใหม่ของหัวเหว่ย ที่สามารถแปลงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีระบบ ITในการดูแลรักษาอุปกรณ์ และประสิทธิภาพให้สูงขึ้นซึ่งเมื่อทดลองพัฒนาอุปกรณ์และระบบต่างๆ ในการผลิตไฟฟ้าแล้ว ความคุ้มค่าก็เป็นไปตามที่เราประเมินไว้และเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของ IGC ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมโดยเฉลี่ยมากกว่า 5 %  สามารถเพิ่มรายได้ให้กับโรงไฟฟ้า เกิดความคุ้มค่าการลงทุน และลดความเสื่องปัญหาจากการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าให้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย เป็นโอกาสต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต

โครงการนี้ทำให้เราเห็นผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย โดย IGC สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ส่วน PP ก็ได้เปิดตลาดใหม่ ได้เรียนรู้เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับคู่ค้า ลูกค้า โดยที่เราสามารถนำเสนอจากประสบการณ์ใช้งานจริง มีโรงไฟฟ้าตัวอย่างให้มาศึกษา รวมถึงการทำงานร่วมกับหัวเหว่ยที่เป็นบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก ช่วยยกระดับธุรกิจของเราสู่ตลาดสากล ในขณะเดียวกันหัวเหว่ยที่ไม่เคยทำโครงการเกี่ยวกับโรงงานผลิตไฟฟ้าก็ได้ยกระดับธุรกิจของตัวเองสู่การเปิดตลาดในธุรกิจนี้จากการศึกษาและทำโครงการร่วมกับ IGC จนสำเร็จเป็นโครงการต้นแบบของหัวเหว่ย 

และหากถามว่าโครงการ Repowering ที่เกิดประโยชน์กับคนในห่วงโซ่แล้ว  สามารถต่อยอดธุรกิจในรูปแบบพาณิชย์ได้ไหม ตอบว่าได้แน่นอน และเราตั้งใจใช้โมเดลธุรกิจนี้เป็นต้นแบบต่อยอดขยายสู่ธุรกิจพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีและอุปกรณ์ให้กับโรงผลิตไฟฟ้าที่อื่นๆในอนาคต เพราะโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในตลาดส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะมีอายุประมาณ  8 -10 ปี อุปกรณ์บางอย่างเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพลงไปเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ IGC  โครงการ Repowering ชี้ให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เราจึงมีแผนพัฒนาธุรกิจร่วมกันเพื่อเปิดตลาดนี้ต่อไปในอนาคตแน่นอน และเรามองเห็นแล้วว่าการสร้างความร่วมไม้ร่วมมือนั้นเกิดผลลัพธ์ที่ดีและสามารถเกิดโอกาสทางธุรกิจต่อไปได้อีกไกล เราก็ตั้งใจใช้ Business Model นี้เป็นต้นแบบในการทำงานกับหน่วยงานอื่นๆ ของสายธุรกิจของเราต่อไปอีกด้วย

ต้องไม่หยุดนิ่ง การหยุดอยู่กับที่เท่ากับการถอยหลัง

2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจพลังสะอาด พลังงานทดแทนนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดมาก องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นกลุ่มธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม เริ่มมองเห็นความคุ้มค่าในการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์ ทำให้ธุรกิจเราเติบโตค่อนข้างดี เพราะไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนนั้นสามารถประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก เรามีแผนเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด การวางแผนการตลาดมากขึ้น เช่นผลิตภัณฑ์โซล่าในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง(Building Integrated Photovoltaic: BIPV)  คือการนำแผงโซลาร์มาใช้ในองค์ประกอบโครงสร้างของอาคาร ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เลย  อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน อุปกรณ์กักเก็บพลังงาน (ENERGY STORAGE)  ในอนาคตการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีมากขึ้น จำเป็นต้องมีการติดตั้งที่ชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (CHARGING STATION) ก็มีการคิดวางแผนต่อยอดเชิงธุรกิจเหล่านี้เช่นกันเพราะเรื่องพลังสะอาดเป็นธุรกิจที่สามารถต่อยอดไปได้อีกไกล

คุณสมชายทิ้งท้ายว่าเราต้องไม่หยุดนิ่ง ทุกวันต้องเดินหน้าต่อไปตลอดเวลา การหยุดอยู่กับที่ ไม่พัฒนาหรือแสวงหาสิ่งใหม่ก็เท่ากับการถอยหลัง เทคโนโลยีปัจจุบันมีให้เลือกใช้เยอะและเปลี่ยนไปเร็วมาก เราต้องยกระดับตัวเอง ยกระดับทีมงาน เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงาน พัฒนาการทำงานร่วมกับคู่ค้า สร้างโอกาสทางธุรกิจ ยกระดับธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า ที่สำคัญคือการทำธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล เพราะการเป็นคนดีและคนเก่งต้องควบคู่กัน คุณค่าหลักของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ทั้ง 5 ด้านนี่คือดีที่สุดแล้ว สามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตจริงและชีวิตการทำงาน

นมโอ๊ต x เมนูออร์แกนิก
เติมเต็มรสชาติที่คุณรักษ์

นมโอ๊ต x เมนูออร์แกนิก
เติมเต็มรสชาติที่คุณรักษ์

นมโอ๊ตทางเลือกใหม่ถูกใจสายเฮลตี้ที่รักกาแฟนมเพราะนมโอ๊ตมีเนื้อข้นกว่านมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองทำให้ผสมเข้ากับกาแฟได้ดีกว่าและมีกลิ่นอ่อนกว่าไม่รบกวนกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ของกาแฟพอผสมกับกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นแล้วรสชาติก็แทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากการผสมด้วยนมวัวเลย

ทำไมนมโอ๊ต ถึงมาแรงในยุคนี้?

ก็เพราะเป็นนมสำหรับคนรักสุขภาพ

  • อุดมไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายเราต้องการวิตามินบีวิตามินดีแคลเซียมโฟเลตแมกนีเซียมสังกะสีและธาตุเหล็ก
  • มีไฟเบอร์มากกว่าแต่มีไขมันน้อยกว่านมวัวจึงเหมาะสำหรับสายสุขภาพ
  • มีแคลเซียมที่เทียบเท่านมวัว จึงเหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ร่างกายต้องการแคลเซียม
  • ให้พลังงานที่มาจากคาร์โบไฮเดรตช่วยให้อยู่ท้องเกือบทั้งวันในขณะที่นมพืชตระกูลถั่วอื่นๆให้พลังงานจากไขมัน
  • เป็นทางเลือกสำหรับคนที่แพ้แลคโตสและแพ้ถั่ว

ก็เพราะเป็นนมสำหรับคนรักษ์โลก

Carbon Footprint ในการผลิตนมโอ๊ต 1 แก้วนั้นอยู่ที่ 0.18 กิโลกรัม โดยนมโอ๊ตหนึ่งแก้วใช้น้ำน้อยกว่าที่นมอัลมอนด์ใช้ถึง 8 เท่าตัว และนมโอ๊ตยังใช้พื้นที่ในการปลูกน้อยกว่าพื้นที่ในการเลี้ยงวัวราว 91% นมโอ๊ตจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนรักษ์โลกได้แบบขาดลอยเลยทีเดียว

พบกับมีวนาได้ที่ MiVana Coffee Flagship Store

ถนนศรีนครินทร์ ซอยพรีเมียร์ 2 หรือซอยศรีนครินทร์ 57 ข้างศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค

เปิดบริการทุกวัน เวลา 7.30 – 17.30 .

กาแฟมีวนา.. เติบโตใต้เงาป่าอุดมคุณค่าเกษตรอินทรีย์

การประเมินคุณค่าบริการระบบนิเวศ เพื่อการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

การประเมินคุณค่าบริการระบบนิเวศ
เพื่อการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ด้วยเป้าหมายที่ต้องการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำอย่างจริงจังและยั่งยืน โครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า     มีวนา จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (BEDO)

จัดทำการประเมินคุณค่าบริการระบบนิเวศ ในพื้นที่โครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า . เชียงราย 

สรุปมูลค่าบริการระบบนิเวศของพื้นที่ในโครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า มีวนา พื้นที่ 4,671.25 ไร่

คิดเป็นมูลค่า 555,468,585.90 บาทต่อปี หรือเฉลี่ย 118,912 บาท ต่อไร่ ต่อปี

ตัวเลขนี้มาจากไหน และการเก็บข้อมูลทำอย่างไรคุณธวัชชัย  โตสิตระกูล  ที่ปรึกษา งานรับรองระบบมาตรฐาน และคุณคมศักดิ์ เดชดี ผู้จัดการทั่วไป งานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และแปรรูปเมล็ดกาแฟ เล่าถึงที่มาและขั้นตอนการทำงานของมีวนา และวิธีที่ชาวพรีเมียร์จะมีส่วนร่วมในการรักษาป่าต้นน้ำ ในคอลัมน์ “Mivana เล่าเรื่อง Core Value”

คุณธวัชชัย เล่าว่า บริษัท มีวนา ดำเนินธุรกิจกาแฟอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2555 ส่งเสริมให้เกษตรกรในจังหวัดเชียงรายปลูกกาแฟในระบบเกษตรอินทรีย์ และรับซื้อผลผลิตทั้งหมดจากเกษตรกรเพื่อแปรรูปและจำหน่าย โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นกิจการเพื่อสังคม คือ ทำหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเกษตรกร พร้อมกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 3 แห่งคือ ต้นน้ำแม่ลาว ต้นน้ำแม่สรวย และต้นน้ำแม่กรณ์  ด้วยพื้นที่ป่าต้นน้ำทั้งหมด 4,671.25 ไร่ เราแบ่งเป็นพื้นที่ในการพัฒนา 2 รูปแบบคือ 1) พื้นที่ป่าเดิมที่อนุรักษ์ไว้แล้วจึงมีการปลูกกาแฟเสริม กับ           2) การปลูกต้นไม้เสริมในพื้นที่ป่าฟื้นฟูที่มีสวนกาแฟอยู่แล้วเพื่อให้ร่มเงาสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ

คุณคมศักดิ์ เล่าว่าการประเมินคุณค่าและมูลค่าความหลากหลายของระบบนิเวศนี้ ทำขึ้นเมื่อเดือนเม..- .. ที่ผ่านมา เราได้รับเกียรติจาก ดร. พงษ์ศักดิ์ วิสวัสชุติกุล เป็นที่ปรึกษาและให้ความรู้ ซึ่งทีมงานมีวนาต้องผ่านการอบรมจาก BEDO ความท้าทายของการทำงานนี้  คือข้อมูลที่เก็บต้องมีความละเอียด ถูกต้อง ซึ่งบางพื้นที่มีความลาดชัน มาก เมื่อฝนตกก็ทำให้พื้นที่มีความลื่นกว่าปกติ และทีมงานต้องเก็บวัดผลอย่างต่อเนื่องตลอดการทำงานเพื่อให้สามารถนำไปวิเคราะห์ประมวลผลได้ตามหลักการ เราได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรที่มีความชำนาญและเข้าใจสภาพพื้นที่เป็นอย่างดี ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมฯ ทำให้ทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถวัดผลได้ตามที่ต้องการ

  1. กำหนดพื้นที่แปลงทดลองขนาด 20×40 ตารางเมตรในพื้นที่ต้นน้ำทั้ง 3 แห่ง
  2. ติดเครื่องหมายเลขที่ต้นไม้ในแปลงทดลอง ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นที่ระดับความสูงจากพื้นดิน 1.30 เมตรจากผิวดิน มากกว่า 4.5 เซนติเมตร  และต้นไม้ที่มีความสูงทั้งหมดของต้นมากกว่า 1.30 เมตร
  3. วัดความสูงของต้นไม้ (H)
  4. วัดความสูงของลำต้นจากจุดที่เป็นกิ่งแรกของต้นไม้
  5. วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของเรือนยอดของต้นไม้ทุกต้น
  6. วัดข้อมูลความลึกของชั้นดิน 
  7. เก็บข้อมูลเสริม 2 ส่วน คือ ปริมาณน้ำฝนรายปี (Ra)  และ ข้อมูลลักษณะภูมิประเทศ (CNt) เพราะเป็นปัจจัยโครงสร้างของระบบนิเวศต้นน้ำที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของน้ำผิวดิน ควบคุมการกัดชะพังทลายของดิน และศึกษาสภาพอากาศของพื้นที่

โดยผลลัพธ์ของการประเมินคุณค่าระบบนิเวศ นี้คิดเป็นมูลค่า 555 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ย 118,912 บาท ต่อไร่ ต่อปี เป็นตัวเลขในเชิงคณิตศาสตร์ที่เราวัดทั้งความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ และการลดความสูญเสียของดินและสารอาหารที่จำเป็นต่อต้นไม้ และปัจจัยอื่นๆ  หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย คือ เมื่อเราปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ป่าต้นน้ำมากขึ้น ประโยชน์ที่จะได้รับคือ การชะลอปริมาณน้ำฝนที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์จะช่วยเก็บกักน้ำฝนลงสู่ผืนดินได้นานขึ้น ช่วยบรรเทาความรุนแรงของสภาพอากาศ นอกจากนี้ต้นไม้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ช่วยลดโลกร้อนอีกด้วย  ที่สำคัญคือเมื่อพื้นที่ป่าต้นน้ำมีความอุดมสมบูรณ์ ระบบนิเวศของผืนป่าก็จะกลับมา เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชพันธุ์ไม้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่จำเป็นต่อระบบนิเวศก็จะกลับคืนมาเช่นกัน

นอกจากนี้การปลูกกาแฟในพื้นที่ป่าของมีวนา เรายังมีการประเมินมูลค่าบริการระบบนิเวศฯ ด้วยการเรียงลำดับความหลากหลายของพันธุ์ไม้และร่มเงา (Shade Grown) เป็น 4 ระดับจากมากไปน้อยอีกด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นไม้ เพิ่มพื้นที่ป่ามากขึ้นในทุกปี เพราะหากต้นไม้มีการเติบโตสูงมากขึ้น และช่วยสร้างร่มเงาในพื้นที่ป่ามากขึ้นเท่าไหร่ สมาชิกก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นตามลำดับ

 

นอกจากการวัดประโยชน์ในด้านความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ป่าแล้วเกษตรกรยังได้รับประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ที่เราส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้ชุมชน เช่น อะโวคาโด โกโก้ พลับ และอีกมากมาย และประโยชน์ในเชิงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรก็ดีขึ้น  มีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะเป็นการทำเกษตรแบบอินทรีย์ ลดใช้สารเคมี และทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ป่า ร่วมกับภาครัฐ มีพื้นที่ทำกินและสร้างคุณค่า เป็นวิถีที่คนกับป่าอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

คุณธวัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า  จากผลลัพธ์ของการร่วมรักษาป่าต้นน้ำและเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในเชิงประจักษ์ ทำให้บริษัท มีวนาได้รับโล่เกียรติคุณจากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่มีการดำเนินกิจกรรมการตอบแทนคุณระบบนิเวศ (PES) และกิจกรรมการประเมินคุณค่าระบบนิเวศ ถือเป็นความภาคภูมิใจของมีวนาและเกษตรกรทุกคน และการทำงานลงพื้นที่เก็บข้อมูลครั้งนี้ ทำให้ทีมงานได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ทางวิชาการกับผู้เชี่ยวชาญของ BEDO ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำต่อไปในอนาคต

คุณคมศักดิ์กล่าวส่งท้ายว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ คือ การเกื้อกูล สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาครัฐ ในการทำงานร่วมกันในระยะเวลานาน เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และทำให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน หากชาวพรีเมียร์ที่ต้องการร่วมเรียนรู้วิถีการทำงานของมีวนา ก็มีกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการทำแนวกันไฟป่า การปลูกป่า การบวชป่าซึ่งเราจัดเป็นประจำทุกปี หรือเพียงแค่ร่วมบอกต่อเล่าเรื่องราวของมีวนาให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ก็ช่วยขยายผลการทำงานของมีวนาได้แล้วเช่นกัน

Raya Collection

สร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนของ Raya Collection

Raya Collection

การสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน
ของ Raya Collection

ด้วยการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ใส่ใจในทุกรายละเอียด พิถีพิถันในการดูแลทุกขั้นตอน สร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ทุกคนเมื่อมีโอกาสสัมผัสกับโครงการบ้านพักอาศัย โรงแรมทั้ง 3 แห่ง สถานที่จัดงาน ร้านบูทีคช้อปที่นำเสนอสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และที่สำคัญได้นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 30 ปีในธุรกิจดังกล่าว ขยับตัวเข้าสู่ธุรกิจน้องใหม่ Creative Agency ที่พร้อมให้คำปรึกษาด้าน Hospitality & Design ครบวงจร เรากำลังพูดถึง Raya Collection จากสายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เรามาทำความรู้จักธุรกิจทั้งหมดของ Raya Collection ว่าทำธุรกิจอะไรบ้าง และมีความโดดเด่นอย่างไร

การสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนของ Raya Collection

คุณทิพย์ชยา พงศธรกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม เล่าว่าที่ผ่านมาคนส่วนมากจะรู้จักเราแบบแยกส่วนเช่น โรงแรมรายาวดี โรงแรมแทมมาริน วิลเลจ เชียงใหม่ แต่คนจะไม่รู้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของธุรกิจเราเท่านั้นเป้าหมายของการสื่อสารแบรนด์ Raya Collection เพื่อต้องการให้คนรู้จักเราในภาพรวมมากขึ้น และเราก็ต้องการที่จะเป็นหนึ่งในธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยในด้าน Hospitality & Design ที่นำคุณค่าหลักของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ คือความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนเป็นแนวปฏิบัติในการทำงานมาตลอด 30 ปี ซึ่งนิยามความโดดเด่นของ Raya Collection มี 4 ด้านหลักคือ

  • ความซาบซึ้งและหวงแหนในวัฒนธรรมพื้นถิ่น (Local Appreciation)ไม่ว่าเราจะไปทำธุรกิจในพื้นที่ใด เรามีความชื่นชมกับสิ่งรอบตัว ทั้งความสวยงามของทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ทะเล ภูเขา หรือในแง่ของวัฒนธรรม สินค้าพื้นเมือง สิ่งที่เราทำนอกจากการรักษาความสวยงามของธรรมชาติ เรายังร่วมเสริมให้พื้นที่นั้นมีความโดดเด่นมากขึ้น ทั้งในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสินค้าพื้นเมืองให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและจับต้องได้ เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนมากขึ้น
  • ความยั่งยืน (Sustainability) เราต้องการเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน อยู่กับชุมชนนั้นได้อย่างยาวนาน เมื่อเราเข้าไปทำธุรกิจในพื้นที่ใดก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือชุมชนและสังคมที่นั่น ดังนั้นการออกแบบก็จะดีไซน์ให้มีความสวยงามเหนือกาลเวลา (Timeless Design) กลมกลืนและไม่ทำร้ายธรรมชาติ
  • การยกระดับพัฒนาชุมชน (Community Engagement) เรามีการสร้างความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชนต่อเนื่อง เพื่อที่เราจะเป็นเพื่อนบ้านกันอย่างยาวนาน
  • มากไปกว่านั้น คือ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในพื้นที่ (Creative Economy) ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณค่าและความหมายมากขึ้น

แก่นของการทำธุรกิจทั้ง 4 ด้านนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในทุกงานที่เราทำภายใต้ Raya Collection ประกอบด้วย โรงแรมรายาวดี กระบี่, โรงแรมแทมมาริน วิลเลจ และโรงแรมรายาเฮอริเทจ เชียงใหม่, สถานที่สำหรับจัดงาน The Botanical House, ด้วยจุดแข็งของการทำธุรกิจโรงแรม เราได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์รายา เรสซิเดนซ์ที่นำแนวคิดของการพักผ่อนที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เงียบสงบ มาออกแบบพื้นที่ส่วนตัวที่ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน รวมไปถึงเรา มีการเปิดร้าน Raya Curated Collection ที่ทีมดีไซเนอร์ลงพื้นที่ทำงานกับชุมชน ร่วมกับ Artisan (ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและงานฝีมือ) ในพื้นที่ สร้างสรรค์สินค้าที่โดดเด่นและทรงคุณค่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า สามารถเลือกซื้อสินค้าได้จากช่องทางออนไลน์ ที่ https://therayacuratedcollection.com/

นอกจากนี้ เราได้เริ่มงานRaya Creative Keysที่เป็นธุรกิจ Hospitality & Design Creative Agency น้องใหม่ ที่เรานำความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจโรงแรมมาตลอด 30 ปี มาช่วยพัฒนาโปรเจกต์ให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเราจับงานด้านนี้มา2 – 3 ปีแล้วสร้างความโดดเด่น สร้างคุณค่าและเติมเต็มทุกความต้องการทางธุรกิจให้กับลูกค้าอย่าต่อเนื่อง เริ่มมีผลงานฝากฝีมือกับโรงแรม และงานดีไซน์ให้เป็นที่รู้จักในวงการมากขึ้น

Raya Creative Keys คือ การออกแบบประสบการณ์ที่ครบวงจร

คุณต๋อย ชุติมา เรืองฤทธิ์ราวีที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม เล่าว่าจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโรงแรมรายาเฮอริเทจ ที่เชียงใหม่ เมื่อปี 25… เป็นผลงานที่เราภูมิใจ ทั้งการออกแบบ การดีไซน์ประสบการณ์ที่แขกจะได้รับตั้งแต่ย่างก้าวแรก จนเป็นเสมือน Showcase จากแขกที่ไปพักซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องการลงทุนทำโรงแรม ก็กลายมาเป็นลูกค้าเรา ให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบประสบการณ์ให้กับแขกที่จะมาพักในโรงแรมของเขา หรือลูกค้าบางท่านก็วางใจให้เรามีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกทำเลพื้นที่เลยทีเดียวส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีวิสัยทัศน์ มุมมองในการทำธุรกิจที่ใกล้เคียงกับเรา ใส่ใจในศิลปะและวัฒนธรรมพื้นถิ่นอันทรงคุณค่า คำนึงถึงความยั่งยืน ถือเป็น Positive Energy ที่ดีมาก ๆ ที่เราจะสร้างความเข้มแข็งการการทำธุรกิจที่ยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

คุณเต้ พุฒิเศรษฐ์ จันทร์ศิลาAccount Manager เสริมว่า เราดูแลงานให้ลูกค้าหลากหลาย ทั้งการสร้างแบรนด์ ดึงความโดดเด่นของสินค้าและบริการ หยิบยกมาเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ส่วนที่ 2 คือ งานดีไซน์ ครอบคลุมทั้งแต่งานออกแบบ งานตกแต่งภายใน การออกแบบประสบการณ์ของแขกที่จะมาพักหรือใช้บริการ ทั้งรูป รส กลิ่นสี ตามที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้โรงแรมมีความโดดเด่นแตกต่าง สร้างความประทับใจให้แขกที่มาพัก สุดท้ายคือ งานบริการ ที่เราจะช่วยกำหนดมาตรฐาน การบริหารจัดการระบบ และงานบริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำมาตรฐานนี้ไปใช้บริหารงานต่อไปได้ในอนาคต

ความท้าทายของทำงานครีเอทีฟ เอเจนซี่

หากจะถามว่าส่วนที่ยากที่สุดของการทำงานเอเจนซี่คืออะไร คุณต๋อย เล่าว่า ด้วยความที่เราไม่เคยจับงานธุรกิจให้คำปรึกษามาก่อน เราเคยทำแต่งานอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่เป็นของเราเอง เมื่อวันที่เราปรับบทบาทตนเองมาให้บริการลูกค้า สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าไปนั่งในใจของลูกค้า ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด เมื่อเราเริ่มทำงานกับลูกค้า โปรเจกต์หนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือนจนถึง 2 ปี ดังนั้นการสื่อสาร การพูดคุยทำความเข้าใจความต้องการ การหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนให้งานของลูกค้าประสบผลสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญมาก ทีมก็ต้องทำงาน ค้นคว้าหาข้อมูล เพิ่มทักษะการนำเสนอที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ ดูแลจนโปรเจกต์สำเร็จเป็นสิ่งที่ทีมได้เรียนรู้ทุกวัน

อีกมุมหนึ่งก็เป็นความสนุกที่ทีมงานทุกคนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอด ได้ทำงานลงพื้นที่ ในจังหวัดที่เราไม่คุ้นเคย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นประสบการณ์ที่จะสั่งสมให้เราสามารถทำงานให้คำปรึกษากับลูกค้าได้ดีขึ้นในงานต่อไปในอนาคตเป็นคำที่คุณรินกล่าวทิ้งท้ายและขอฝากแบรนด์ “Raya Collection” ให้ทุกคนได้เข้ามาเรียนรู้ ทำความรู้จักได้ที่ https://raya-collection.com/ หรือหากต้องการทำงานร่วมกับ Raya Collection สามารถติดต่อได้ที่ คุณเต้ พุฒิเศรษฐ์ Phuttised.c@raya-collection.com

This site is registered on wpml.org as a development site.